ลาโรง

ลาโรง

ความเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นไทย ที่เข้าสู่ภาวะ Sideways และไม่เคยหลุดพ้นไปไหน

ผมยังจำชุดหนึ่งของ เชอร์ล็อก โฮล์มส์ นวนิยายนักสืบชื่อดังในตำนานได้เป็นอย่างดี ภาษาอังกฤษชื่อ His Last Bow แปลเป็นไทยคือ 'ลาโรง'

ที่เอ่ยถึงเรื่องนี้ เพราะนี่เป็นบทความสุดท้าย ที่ผมจะเขียนลงหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

โดยส่วนตัว ผมมีความผูกพันกับกรุงเทพธุรกิจมาเกือบ 20 ปี เพราะงานแรกในชีวิตของผม คือการเป็นผู้สื่อข่าวของค่ายเนชั่นเมื่อปี 2001 โดยหนึ่งในหน้าที่รับผิดชอบ ได้แก่การดูแลหน้าข่าวกีฬาของกรุงเทพธุรกิจ ซึ่งมีอยู่เพียง 1-2 หน้า จากหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับหลายสิบหน้า

นั่นเป็นความภูมิใจเล็กๆ ของเด็กจบใหม่อย่างผมในเวลานั้น ที่ได้มีพื้นที่ส่วนตัวในหนังสือพิมพ์ระดับประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรสื่อชื่อดังยุค 'รวมดาว' ซึ่งมีทั้งสรยุทธ์ สุทัศนะจินดา, กนก รัตน์วงศ์สกุล, สโรชา พรอุดมศักดิ์, สู่ขวัญ วิวรกิจ, กฤษณะ ไชยรัตน์ และอีกหลายๆ คนมาเดินอยู่ในตึกเดียวกัน

เป็นความทรงจำที่ไม่เคยเลือนหาย

เวลาผ่านมาเกือบสองทศวรรษ ผมลาออกจากเนชั่นและก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งชีวิต โดยโชคดีที่ตัดสินใจเริ่มต้นลงทุนหุ้นในแนวทางเน้นมูลค่า หรือ 'วีไอ' ก่อนจะได้รับอิสรภาพทางการเงินเมื่อปี 2011 และหันมาเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนอย่างจริงจังในนามของกลุ่ม 'Club VI'

ต่อมาในปี 2016 ผมถูกชวนให้มาเขียนบทความในคอลัมน์ Value Way ของกรุงเทพธุรกิจ ซึ่งนอกจากจะเป็นการคืนถิ่นเก่าแล้ว ยังถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เนื่องจากพื้นที่นี้เคยเป็นของวีไอระดับ 'หอเกียรติยศ' หลายคน ไม่ว่าจะเป็น คุณวิบูลย์ พึงประเสริฐ คุณประภาคาร ภราดรภิบาล คุณ 'นิ้วโป้ง' อธิป กีรติพิชญ์ และอีกหลายท่าน

แม้แต่ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ต้นแบบแห่งวีไอไทย ก็มีคอลัมน์ส่วนตัวอยู่ที่นี่

จากวันนั้นถึงวันนี้ นับได้สี่ปีพอดี ผมเขียนบทความมาแล้วกว่าร้อยบทความ โดยบอกเล่าเรื่องราวหลักๆ ไปตามความเปลี่ยนแปลงของตลาดหุ้นไทย ที่เข้าสู่ภาวะ Sideways และไม่เคยหลุดพ้นไปไหนได้อีกเลย

ณ วันนี้ ผมมั่นใจอย่างยิ่งว่า ตลาดหลักทรัพย์ไทยผ่านพ้นยุครุ่งเรืองมานานแล้ว เช่นเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศที่ยากจะกลับมาเติบโตในอัตราสูงๆ เหมือนเมื่อ 17 ปีก่อนที่ผมเริ่มต้นลงทุน ประเทศของเราก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมผู้สูงอายุ เศรษฐกิจซบเซาทั้งจากการเมืองการปกครองที่มีปัญหาและวิกฤตโรคระบาด

โอกาสเดียวที่นักลงทุนหน้าใหม่จะสร้างความมั่งคั่งได้เหมือนวีไอยุคผม ซึ่งเคยทำผลตอบแทนกันปีละหลายสิบเปอร์เซ็นต์ คือต้องขยับขยายไปลงทุนใน 'หุ้นต่างประเทศ' อย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีวิธีอื่น

และนี่คือข้อคิดสุดท้ายที่ผมอยากฝากไว้ ก่อน 'ลาโรง' อย่างเป็นทางการ

ขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามกันมาตลอดสี่ปีครับ