ระวัง...การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ K-Shaped

ระวัง...การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแบบ K-Shaped

เป็นที่ทราบกันดีว่าโควิด-19 นำไปสู่ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจทั่วโลก ล่าสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติก็ได้ออกมาแถลง

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ของประเทศไทยในไตรมาส 2 ลดลง 12.2% ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่อยู่ในช่วงที่คาดการณ์ไว้ของบรรดาสำนักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย

อย่างไรก็ดี หลายคนก็เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดมาแล้ว (ถ้าไม่เกิดการแพร่ระบาดของโควิดจนทำให้ต้องปิดบ้านเมืองอีกรอบ) และในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปีนี้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจก็จะดีกว่าของไตรมาส 2 ที่ผ่านมา

ความน่าสนใจต่อไปคือเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวในลักษณะและรูปแบบใด? ซึ่งก็มีหลายแนวคิดหลายทฤษฎี ส่วนใหญ่ก็จะอ้างอิงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายหลังภาวะเศรษฐกิจตกต่ำตามสัญลักษณ์หรือตัวอักษรภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็น ตัว L หรือ U หรือ V หรือ W หรือแม้กระทั่งสัญลักษณ์ Swoosh ของบริษัทไนกี้ ล่าสุดในสหรัฐเริ่มพูดถึงรูปแบบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในอีกรูปแบบหนึ่งนั้นคือ K-Shaped หรือตัวอักษร K นั้นคือสำหรับบางกลุ่มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ฟื้นตัวกลับมาในสภาพเดิมอย่างเต็มที่ (หางของตัว K ที่ชี้ขึ้นไปข้างบน) ขณะเดียวกันสำหรับบางกลุ่มนั้นก็ยังไม่ฟื้นตัวแถมยังตกต่ำลงต่อไป (หางของตัว K ที่ชี้ลงมาด้านล่าง)

ในสหรัฐนั้น ที่เริ่มคุยกันเรื่องการฟื้นตัวแบบตัว K นั้นเนื่องจากตลาดหุ้นของสหรัฐ รวมทั้งตลาดที่อยู่อาศัยได้กลับมาฟื้นตัวกันอย่างเต็มที่ ถึงขนาดที่ตลาดหุ้นบางแห่งของสหรัฐกลับมาทำสถิติอีกครั้ง หรือหุ้นของบริษัทอย่าง Apple ก็ขึ้นสู่ระดับ 2 ล้านล้านดอลลาร์ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ขณะเดียวกันอัตราการว่างงานของชาวอเมริกันและการปิดตัวเอง หรือล้มละลายของธุรกิจขนาดกลางและเล็กที่ยังคงมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เริ่มเป็นที่กังวลกันว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวแบบตัว K

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการบริหารจัดการอย่างมืออาชีพ มีสายป่านทางการเงินที่ดีระดับหนึ่ง ย่อมจะก้าวผ่านพ้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้ดีกว่าบริษัทขนาดกลางและเล็กที่ระบบการบริหารจัดการยังไม่มีความเป็นมืออาชีพและกระแสเงินสดยังไม่เยอะ แถมบริษัทขนาดใหญ่ย่อมมองเห็นโอกาสที่จะเติบโตและก้าวออกจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำได้อย่างเข้มแข็งมากกว่าบริษัทขนาดเล็ก

นอกจากนี้อีกหนึ่งปัจจัยที่นำไปสู่การฟื้นตัวแบบตัว K ในสหรัฐนั้นก็เนื่องจากโควิดทำให้องค์กรต่างๆ นำเรื่องของดิจิทัลและออโตเมชั่นมาใช้มากขึ้น ทั้งเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพและลดโอกาสเสี่ยงการติดเชื้อ อย่างไรก็ดี ผลที่ตามมาคือ เทคโนโลยีต่างๆ เหล่านี้นำไปสู่การลดจำนวนบุคลากรในการทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งทำให้ตำแหน่งบางตำแหน่งไม่มีความจำเป็นต้องมีอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรระดับใช้แรงงานที่ทำงาน Routine และสามารถที่จะทดแทนได้ด้วยเทคโนโลยีและเครื่องจักร ก็มักจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ถูกปลดออกจากงาน

ขณะที่กลุ่มบุคลากรที่เป็นกลุ่ม Professional worker จะสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้ดีกว่าและไม่ประสบปัญหาเท่ากับบุคลากรอีกกลุ่ม

สำหรับสาเหตุที่ต้องกังวลนั้นก็เนื่องจากถ้าเศรษฐกิจฟื้นตัวแบบตัว K นั้นจะนำไปสู่ความแตกต่างและแบ่งแยกทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจก็จะยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายแล้วความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจดังกล่าวก็อาจจะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำและความวุ่นวายทางสังคมได้

หันกลับมาดูประเทศไทยบ้าง สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในรูปแบบตัว K ยังไม่ชัดเจนเท่ากับที่สหรัฐ (อาจจะเนื่องจากสหรัฐกำลังเข้าสู่ฤดูการเลือกตั้งประธานาธิบดีด้วย) ตลาดหุ้นไทยก็ยังขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตามปกติ แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณบางประการที่เริ่มน่ากังวล ไม่ว่าจะเป็นการปลดพนักงานระดับปฏิบัติการตามโรงงานต่างๆ ที่มากขึ้นเรื่อยๆ หรือการปิดตัวของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหลายแห่ง รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว

ขณะเดียวกันธุรกิจในบางภาคส่วนก็เติบโตไปด้วยดี อาทิในกลุ่มการส่งออกอาหารและผลไม้ไปต่างประเทศ หรือหลายๆ บริษัทใน ตลท. ที่ฝ่าฟันวิกฤติมาได้อย่างดีและประกาศจ่ายปันผลกลางปี

ถ้าไทยฟื้นตัวแบบตัว K จริง ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมก็จะเพิ่มมากขึ้นต่อไป และสามารถที่จะนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ที่ไม่คาดคิดได้