อเมริกา :ใครแพ้ใครชนะ จังหวะลงทุนและเลี่ยง

อเมริกา :ใครแพ้ใครชนะ จังหวะลงทุนและเลี่ยง

ตลาดหุ้นอเมริกา วันพฤหัสที่ 20 สิงหาคม 2563 ดัชนีหุ้นเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ทั้งสามตลาด คือ S&P 500 (SPX) ปิดที่ 3,385 NASDAQ 11,264

 และ ดัชนี Dow Jones (DJIA) ปิดที่ 27,739 

สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการลงทุนมุ่งไปที่ “ผู้ชนะ” หมายถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านดิจิตอลเทคโนโลยีซึ่งผลิตสินค้าและให้บริการแบบความจำเป็นใหม่ในชีวิตซึ่งไม่ใช่ปัจจัยสี่ ตัวอย่างคือ มูลค่าหุ้นทำลายสถิติ หุ้นแอ๊ปเปิ้ล (AAPL) มีมูลค่าตลาด 1.98 ล้านล้านเหรียญ อเมซอน (AMZN) 1.65 ล้านล้าน และ ไมโครซอฟท์ (MSFT) 1.59 ล้านล้านเหรียญ และเทสล่า (Tesla) 0.373 ล้านล้านเหรียญ (ซึ่งวันนี้แซงมูลค่าหุ้นของ Walmart 0.369 ล้านล้านเหรียญ) ฯลฯ บริษัทเหล่านี้กลายเป็น “ผู้ได้รับรางวัล”จากนักลงทุนยุคใหม่ ที่มองข้ามรายงานและบัญชีของรายรับรายจ่ายปัจจุบัน แต่กลับไปฝากความคาดหวังไว้กับอนาคตอีก 1-2 ปีข้างหน้า ปริมาณการซื้อขายหุ้นจำนวนมากก็เป็นการซื้อมาขายไปเก็งกำไรระยะสั้น หุ้นยอดนิยมเหล่านี้จึงมีผลพลอยได้

 ส่วนบริษัทที่หุ้นยังไม่ฟื้นและกำลังเป็น “ผู้แพ้”ในยุคนี้คือกลุ่มธุรกิจพื้นฐานดั้งเดิมซึ่งเป็นหลักของเศรษฐกิจมาโดยตลอด ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมปัจจัยสี่ อุปโภคบริโภคต่างๆ การขายปลีก การธนาคาร สายการบิน โรงแรมและการท่องเที่ยว ฯลฯ มูลค่าหุ้นลดลงในหนึ่งปีเช่น Boeing -49%, Wells Fargo Bank -47%, Kohl’s Department Stores -58% Hilton Hotels -9% เป็นต้น

ที่น่าสนใจคือบริษัทเศรษฐกิจใหม่(หรือผู้ชนะในปัจจุบัน)กำลังเจรจาสร้างพันธมิตรกับบริษัทเศรษฐกิจเก่า(หรือผู้แพ้)ซึ่งทั้งสองฝ่ายหากประสานงานกันได้ดีจะเพิ่มความเข้มแข็งและผู้บริโภคจะได้ประโยชน์สูง

ประชาชนอเมริกันหลายล้านคนยังรอรับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งสภายังตกลงกันไม่ได้ จึงทำให้การใช้เงินประหยัดลงอย่างมากเนื่องจากความไม่มั่นใจกับอนาคต สัปดาห์ที่ผ่านมามีการแจ้งการตกงานกว่าล้านคน ผู้อยู่ในสถานะเศรษฐกิจหาเช้ากินค่ำมีความลำบากมากส่วนผู้ที่สามารถจะปรับตัวได้และทำงานที่บ้านโดยใช้เทคโนโลยีดิจิตอลต่างๆก็ยังพอประคับประคองตนเองได้ 

มีประชาชนบางกลุ่มไม่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากวิกฤตครั้งนี้มาก แถมเป็นโอกาสได้ปรับปรุงแนวทางของชีวิตและเสริมเศรษฐกิจของครอบครัว การลงทุนในตลาดหุ้นของประชาชนกลุ่มนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีเวลาและเสริมด้วยความรวดเร็วของเทคโนโลยีในการซื้อขายหุ้นโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง การบริโภคข่าวสารฉับไวทำให้การตัดสินใจเร็ว การซื้อขายมีปริมาณยอดเงินสูงมากต่อวัน 

สถานการณ์โรคติดต่อ COVID-19ยังน่าเป็นห่วงทั่วสหรัฐอเมริกา  จำนวนผู้เสียชีวิตรวมถึงปัจจุบันประมาณ 175,000 คนและอัตราการติดเชื้อต่อวันเกินกว่า 20,000 คน มหาวิทยาลัยหลายแห่งตัดสินใจเปิดเพียงแค่ออนไลน์เท่านั้น แต่มีหลายสถาบันซึ่งอยู่ในเขตชุมชนที่มีอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมพยายามลองเปิดภาคเรียน โดยให้เรียนในห้องและอยู่ในหอพักตามปกติ แต่ก็จำเป็นต้องประกาศปิดด่วนเนื่องจากมีการติดเชื้อ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนอร์ธแคโรไลนา-Chapel Hill ตรวจพบการติดเชื้อกว่า 300 คนและเพิ่มต่อวันอีก 135 คน NC State University หลังจากเปิดวันที่ 10 สิงหาคม ก็ต้องเปลี่ยนเป็นออนไลน์วันที่ 17 สิงหาคม เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นทั่วประเทศรวมถึงระดับประถมและมัธยมด้วย 

ข่าวความคืบหน้าและอุปสรรคในการค้นคว้าผลิตและจำหน่ายวัคซีนทำให้เกิดความกังวลระหว่างการรอคอย กระทบกระเทือนกับการวางแผนชีวิตและเศรษฐกิจทั้งในระดับส่วนตัวและส่วนรวม หลายคน(โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว)เกิดความเบื่อหน่ายในการรอคอย และด้วยความประมาทไม่ระมัดระวังเรื่องการป้องกันด้านสาธารณสุข จึงมีพฤติกรรมของการออกไปนอกบ้านสังสรรค์และทำกิจกรรมซึ่งทำให้เชื้อแพร่ต่อไปอีก

การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมาถึงภายในอีกประมาณ 73วัน สพรรคเดโมแครตจัดประชุมใหญ่ 17-20สิงหาคมและได้คัดเลือกผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งคะแนนเสียงจากการสำรวจล่าสุด Joe Biden มีคะแนนนำฝ่ายรีพับลิกัน Donald Trump ประมาณ 9%

ประธานาธิบดีทรัมป์จะนำการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันเริ่ม 24 สิงหาคม การประกาศนโยบายเพื่อเรียกร้องความมั่นใจและคะแนนเสียงให้รักษาตำแหน่ง มาตรการช่วยเหลือฉุกเฉินต่างๆซึ่งจะเป็นการพยุงเศรษฐกิจชั่วคราวจนถึงวันเลือกตั้ง ก็จะถูกนำออกมาใช้ คาดว่าการเงินจะออกมาสะพัดอีกโดยการใช้กระบวนการอัดฉีดของธนาคารกลาง 

กลยุทธ์ในการปะทะเรื่องเศรษฐกิจการค้ากับจีนก็เป็นชั้นเชิงทางการเมือง การเจรจาการค้าที่กำหนดไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วถูกประกาศยกเลิกไปโดยทำเนียบขาว แต่จีนแถลงว่าจะมีการกลับมาเจรจาอีกภายในสัปดาห์หน้า จีนสั่งซื้อสินค้าทางเกษตรเป็นจำนวนมากจากอเมริกาในระยะนี้เพื่อเป็นการส่งสัญญาณไมตรี รัฐบาลอเมริกันเพิ่มความกดดันโดยใช้วิธีการปิดกั้นและเพิ่มกฎเข้มงวดกับบริษัทเทคโนโลยีที่ถือว่าเป็นดาวรุ่งของจีน (Tik Tok, WeChat) และลามไปถึงทุกบริษัทที่มีต้นกำเนิดจากจีน แต่มาระดมทุนโดยการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของอเมริกา BABA, JD, PDD, TCEHY ฯลฯ ยุทธวิธีการหาเสียงหรือหาข้อได้เปรียบทางเศรษฐกิจกระทบกับการตัดสินใจเรื่องการซื้อขายหุ้น โดยเห็นได้ชัดจากราคาหุ้นของบริษัทที่ค้าขายโดยตรงระหว่างจีนกับอเมริกาที่ขึ้นลงมากเพราะข่าวดีและร้ายประจำวัน 

น่าจับตาดูว่าเดือนตุลาคมว่าจะมีเหตุการณ์อะไรที่เป็นสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้นหรือไม่ หากคะแนนเสียงของทำเนียบขาวยังตามห่างอยู่ มีการเตรียมตัวของหลายฝ่ายว่าการเลือกตั้งครั้งนี้อาจจะมีการประท้วงและฟ้องร้อง หากผลการเลือกตั้งออกมาโดยคะแนนเสียงไม่ต่างกันมาก ซึ่งจะทำให้ทั้งเดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนแห่งความโกลาหลวุ่นวาย 

ตลาดหุ้นของอเมริกาหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีทุกครั้งไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะชนะก็มักจะขึ้น 7-9% นับจากวันเลือกตั้งจนถึงสิ้นปี ท่านผู้อ่านที่ลงทุนกับบริษัทต่างๆในตลาดหุ้นของอเมริกากรุณาเพิ่มความระมัดระวังในช่วงเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนนี้ ควรกระจายความเสี่ยงและถือเงินสดไว้บ้าง โอกาสในการลงทุนจากวันนี้จนถึงปลายเดือนกันยายนมีแนวว่าแจ่มใส ระมัดระวังช่วงตุลาคม-พฤศจิกายน และโอกาสดีอีกครั้งอาจจะกลับมาในเดือนธันวาคมครับ