ตลาดไอทียุคโควิด (2)

ตลาดไอทียุคโควิด (2)

ต้องมองให้ออกว่าทางเลือกอยู่ที่ไหน และปรับตัวให้สอดคล้องเร็วที่สุด

ภาวะเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันที่หลายๆ คนนิยามว่าเป็นยุคนิวนอร์มอลหรือเน็กซ์นอร์มัลนั้นมีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่ต่างกับภาวะวิกฤติอื่นๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้นั่นคือมีโอกาสที่แฝงอยู่เสมอ ดังเราจะเห็นได้ชัดเจนจากธุรกิจอาหารหรือธุรกิจบริการส่งของถึงบ้านและอีคอมเมิร์ซที่เติบโตเป็นประวัติการณ์

เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย เศรษฐกิจจึงเริ่มเดินหน้า แม้จะมีอาการ “การ์ดตก” ไปบ้างแต่โดยรวม ก็ถือว่ายังอยู่ในการควบคุม เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดการระบาดซ้ำสองเป็นแน่ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาจากโควิดนั้นหนักหนาสาหัสกว่าที่เราเคยคาดคิดไว้หลายเท่า

โดยเฉพาะยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐที่โดนพิษโควิดเข้าอย่างจัง แม้จะปากแข็งว่าเศรษฐกิจยังเดินหน้าต่อไปได้โดยอาศัยเงินอัดฉีดจากรัฐบาลเข้ามาอุ้มองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถจ่ายเงินเดือนให้พนักงานต่อไปได้ โดยหวังให้ตลาดหุ้นไม่กระทบกระเทือนมากนัก แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของภาวะเศรษฐกิจเลย

ต้นตอสำคัญของปัญหาในครั้งนี้แตกต่างจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งที่ผ่านมาที่มักมาจากภาวะขาดเงินสดหมุนเวียนในระบบ เพราะในครั้งนี้ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ ล้วนมีเงินสำรองเหลือเฟือแต่ไม่กล้าปล่อยสินเชื่อในระบบ

เช่นเดียวกับกลุ่มผู้รายได้สูงที่ยังมีเงินสดอยู่กับตัวแต่ลดการใช้จ่ายรวมถึงการลงทุนลงเพราะไม่มั่นใจภาวะเศรษฐกิจในอนาคต รวมถึงชนชั้นกลางบางส่วนที่อาศัยเงินออมที่มีอยู่ดำเนินชีวิตต่อไปได้แต่ก็ไม่ได้ใช้จ่ายเหมือนปกติ

กลุ่มที่น่ากังวลคือกลุ่มรากหญ้าที่อยู่ได้ด้วยค่าจ้างหรือเงินเดือนซึ่งไม่สามารถหางานทำได้เหมือนที่เคยเป็นมา เพราะธุรกิจหยุดชะงักจากการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 กลุ่มนี้จึงต้องการการเยียวยาจากภาครัฐสูงสุด

คนทำธุรกิจในทุกวันนี้จึงต้องมองให้ออกว่าลูกค้าของเราอยู่ในกลุ่มไหน หากเป็นกลุ่มลูกค้าระดับบนก็อาจยังเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนลูกค้าระดับกลางก็ต้องอาศัยการกระตุ้นกำลังซื้อเพราะเรารู้ว่าเขามีเงินอยู่กับตัวแต่ยังไม่ใช้หากไม่จำเป็นเท่านั้น

ส่วนลูกค้าระดับล่าง หรือกลุ่มรากหญ้าจะถูกกระทบมากที่สุด การปรับตัวหาตลาดใหม่จึงจำเป็นที่สุดเพราะเราไม่อาจพึ่งพากลุ่มลูกค้าเดิมได้อีกต่อไป เหมือนกับการวิเคราะห์อาการป่วยของเราว่ามาจากสาเหตุใดและต้องรักษาที่จุดไหนเพื่อรักษาอาการในช่วงนี้ให้ได้สำเร็จ

สำหรับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ในเวลานี้เราจะพบว่าแต่ละแห่งสาละวนกับการปรับโครงสร้างลดคนชะลอการลงทุนเพื่อหาแนวทางและกลยุทธ์ใหม่ที่จะเดินต่อไปในปีหน้า หากเป็นธุรกิจการผลิตก็อาจได้รับผลกระทบมากหน่อยเพราะกำลังซื้อทั่วโลกชะลอตัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรมที่ลดกำลังการผลิต ลดการจ้างงาน รวมถึงปลดคนงานออกบางส่วนซึ่งเป็นภาวะที่ไม่มีใครคาดคิด จากเดิมที่เคยเดินสายพานการผลิตตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันนี้อาจทำได้แค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์

แต่สำหรับธุรกิจการจัดจำหน่ายหากเคยอาศัยช่องทางจัดจำหน่ายในรูปแบบโมเดิร์นเทรดเป็นตัวสร้างรายได้ก็อาจต้องหันมาหาช่องทางออนไลน์เป็นทางเลือกเพิ่มเติม เพราะนับตั้งแต่สถาการณ์โควิดตั้งเค้าขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว เป็นโอกาสให้หลายๆ บริษัทใช้ช่องทางออนไลน์เป็นกลยุทธ์หลักในการทำรายได้ทดแทน

แม้หลายๆ แห่งไม่ได้สนใจกลยุทธ์ออนไลน์มากนัก ก็จำเป็นต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน จนปัจจุบันช่องทางการจำหน่ายปกติจะกลับมาทำรายได้บ้างแล้ว แต่ช่องทางออนไลน์ก็กลับเพิ่มสัดส่วนขึ้นมามากมายหลายเท่าจนอาจกลายเป็นช่องทางหลักได้ในอนาคต

สิ่งเหล่านี้จึงเป็นอานิสงส์ของภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นและเราจำเป็นต้องมองให้ออกว่าทางเลือกของเราอยู่ที่ไหน และปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ให้เร็วที่สุด