กลัวเพราะไม่รู้

กลัวเพราะไม่รู้

ถ้าเคยไปเที่ยวสวนสนุกแล้วแวะไปชมปราสาทผีสิง บางคนอาจจดจำความสนุกที่มาจากความน่ากลัวที่พบเจอในครั้งนั้นได้

ปราสาทผีสิงในสวนสนุกดูน่ากลัวเพราะรอบตัวมืดมิดไปหมด เดินไปโดยไม่รู้ว่าข้างหน้าจะมีอะไรโผล่มาข้างหน้า เจอตัวอะไรโดยที่ไม่ได้ตั้งตัว สักครั้ง สองครั้ง จิตของเราก็เริ่มหลอน ตัวเราเองให้ยอมรับความกลัวจากความไม่รู้นั้น เพียงแต่ไม่ได้กลัวมากมายจนหมดสนุกเพราะระลึกได้ว่ากำลังมาเที่ยวสวนสนุก รู้ตัวว่าไม่ใช่เหตุการณ์จริง แต่หากตัดความรู้ตัวนั้นออกไป คือ ไม่แน่ใจว่ายังอยู่ในสวนสนุกหรือออกมาที่ไหนกันแน่ คราวนี้จะเหลือแต่ความกลัวอย่างเดียว กลัวเพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้าง ในทางตรงข้ามถ้าเดินเข้าไปในปราสาทผีสิงในสวนสนุกเดิม แต่คราวนี้เปิดไฟสว่างไสวมองทางไหนก็เห็นหมดว่าตรงไหนมีอะไรไว้หลอกให้เราตกใจบ้าง ใครที่หวังจะได้สนุกกับความน่ากลัวจะหมดสนุกไปเลย เมื่อเรารับรู้ความจริงทุกอย่างเกี่ยวกับปราสาทผีสิงนั้นไปตั้งแต่ที่เริ่มเดินเข้ามาความจริง ที่พบเห็นช่วยลบล้างอุปาทานที่สร้างความน่ากลัวให้เกิดขึ้นกับเราให้หมดไป

คนยุคหินเคยกลัวฟ้าร้อง ฟ้าผ่า เพราะเขาไม่รู้ที่มาของฟ้าร้อง เขาอธิบายไม่ได้ว่าทำไมมีฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด เมื่อไม่รู้เพียงพอที่จะหาทางป้องกันตนเองได้ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่าเลยกลายเป็นความน่ากลัวขึ้นมา ตราบจนกระทั่งคนเราเรียนรู้ฟ้าร้องเกิดขึ้นได้อย่างไรวันนี้บางคนอาจกลัวเสียงที่ดังสนั่นของฟ้าร้องแต่นั่นไม่ใช่ความกลัวแบบเดียวกับที่เกิดกับคนยุคหิน

ทุกยุคทุกสมัยจะมีคนที่ฉวยโอกาสสร้างประโยชน์ให้กับตนเองจากความกลัวของผู้คน กระบวนการสร้างความกลัวจากความไม่รู้ จึงพบเจอได้เสมอ บางคนทำให้เรื่องธรรมดากลายเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติเพื่อให้เราไม่รู้ที่มาที่ไป จนเหนี่ยวนำให้เกิดความกลัวขึ้นมาและเขาคนนั้นจะเสนออะไรบางอย่างกับเราเพื่อให้เรารู้สึกปลอดภัยจากความกลัวนั้นบางคนทำให้กฏเกณฑ์กติกาเป็นเรื่องที่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับรู้เข้าใจได้จนเราเกิดความกลัว ผลที่ตามมาจากการปฏิบัติตามกฎกติกานั้น และแน่นอนว่าเขาจะตามมาด้วยข้อเสนอในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎกติกานั้นคนฉวยโอกาสเหล่านี้จะทำอะไรเราไม่ได้เลย หากเรารู้ความจริงในเรื่องนั้น และไม่สร้างความกลัวขึ้นมาหลอกหลอนตัวเราเอง รู้เรื่องใดมากขึ้นเท่าใด ความกลัวในเรื่องนั้นก็จะลดลงไปเท่านั้น รู้เรื่องไหนมากเท่าใด ย่อมรู้หนทางแก้ไขเรื่องนั้นมากขึ้นเท่านั้น ความไม่แน่นอนทั้งหลายย่อมลดน้อยถอยลงส่งผลให้อุปาทานที่เหนี่ยวนำให้เกิดความกลัวลดลงตามไปด้วย ถ้าอยากลดความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้สามารถลงมือทำได้ทันทีโดยหาความรู้เรื่องนั้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้กลัวอะไรให้ทำความรู้จักเรื่องนั้นให้มากที่สุดในทันที

ให้ลองหาประจักษ์หลักฐานที่ยืนยันว่า ผลของสิ่งที่เรากลัวจะเกิดขึ้นแน่ๆ ซึ่งถ้าคิดได้แล้วว่าอะไรคือหลักฐานในเรื่องนี้ ก็ตรึกตรองต่อไปว่าหลักฐานนั้นน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน แต่อย่าพยายามกระทำในระหว่างที่กำลังตกใจกลัวทำใจให้สงบลงสักนิด แล้วค่อยๆ คิดเป็นขั้นเป็นตอนจนถึงปลายทางอย่างใดอย่างหนึ่งคือที่เรากลัวนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวจริงๆ หรือเป็นแค่เรื่องที่เราปรุงแต่งของเราขึ้นมาเอง ซึ่งส่วนใหญ่จะพบว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่เราปรุงความกลัวนั้นขึ้นมาเอง

การเปลี่ยนแปลงนำไปสู่ความไม่รู้ได้เสมอ ดังนั้นให้เปิดใจรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นไว้ก่อนระลึกไว้เสมอว่าไม่มีอะไรที่จิรังยั่งยืนเหมือนเดิมไปได้ตลอดชาติ ถ้าทำใจมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้น ความกลัวในผลของการเปลี่ยนแปลงก็จะปรับกลายเป็นความใฝ่รู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนั้นจากที่เคยกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ กลายเป็นการตั้งใจพยายามที่จะรู้ให้ได้ว่าอะไรบ้างที่กำลังจะเปลี่ยนไป และจะมีผลอะไรตามมาบ้าง 

อย่าวอกแวกไปกับความนึกคิดที่จะหาทางกำจัดให้สิ่งที่เรากลัวพ้นหูพ้นตาของเราไป กลัวคนเกลียด ให้พยายามทำความเข้าใจคนนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่ามัวแต่คิดว่าจะกำจัดคนที่เกลียดเราได้อย่างไร กำจัดไปหนึ่ง สอง สาม ก็จะตามมาตราบที่เรายังอธิบายไม่ได้ว่า อะไรที่ทำให้คนนั้นเกลียดเรา