‘ทางออก (เฉพาะกิจ) การเมืองไทยในยุค Covid-19’

‘ทางออก (เฉพาะกิจ) การเมืองไทยในยุค Covid-19’

ด้วยภาวะวิกฤติ Covid-19และมหาวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ถาโถมประเทศไทย ณ เวลานี้ ทำให้ปัญหาปากท้องของประชาชนและความอยู่รอดของหน่วยธุรกิจ (SMEs)

เป็นประเด็นสำคัญที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศมุ่งหวังให้รัฐบาลดำเนินการแก้ไขให้ลุล่วงอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดเท่าที่เป็นไปได้ หากแต่ว่ามีการคิดล้มล้างรัฐบาลไทยเพื่อความชอบธรรมทางการเมือง ซึ่งแม้ว่าเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดประเด็นหนึ่ง แต่ผู้เขียนเชื่อว่ายังมิใช่เวลาที่จะก่อความขัดแย้งขนานใหญ่ท่ามกลางวิกฤติทั้งโรคระบาด เศรษฐกิจ และภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังรุมเร้าประเทศและประชาชนชาวไทยในตอนนี้

หากมี 2 ประเด็นที่ประชาชนชาวไทยต้องเลือก ระหว่าง 1.ผลประโยชน์ปากท้องและความอยู่รอดของประชาชนส่วนใหญ่ หรือ 2.ความชอบธรรมทางการเมือง (political correctness) ณ เวลาวิกฤติหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ประชาชนส่วนใหญ่จะเลือกประเด็นไหน? ทุกกลุ่มทุกฝ่ายที่กำลังเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยอ้างหลักประชาธิปไตยควรจะตั้งสติถามตนเองก่อนว่าข้อเรียกร้องของตนนั้นเป็นข้อเรียกร้องของประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่? 

ประเด็นนี้เป็นจุดบอดซึ่งแสดงถึงความด้อยวุฒิภาวะทางการเมืองของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองส่วนใหญ่ ซึ่งมักมีความคิดอ่านว่าความคิดเห็นหรือประเด็นเรียกร้องของตนนั้นเป็นสื่อแทนเสียงเรียกร้องของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศอันเห็นได้ว่ากลุ่มประชาชนรากหญ้าและกลุ่มชนชั้นกลางที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศยังไม่ออกมาเข้าร่วมทั้งม็อบของนักศึกษา และม็อบอาชีวะปกป้องสถาบันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งส่อแสดงถึงความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก 

ดังนั้น กลุ่มนักศึกษาควรเลื่อนวาระการยุบสภา ลาออกของรัฐบาลออกไป และเปิดโอกาสให้รัฐบาลได้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและCovid-19 อย่างเต็มที่ โดยหากรัฐบาลสามารถนำพาประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่รอดวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไปได้ก็ตั้งเงื่อนไขให้รัฐบาลยุบสภาจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ และให้ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญโดยสสร. ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนทุกภาคส่วนควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเพื่อให้ได้รัฐบาลและรัฐธรรมนูญที่มาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนส่วนใหญ่ที่แท้จริงในที่สุดและหากรัฐบาลไม่สามารถนำพาประเทศให้รอดพ้นจากภาวะวิกฤติที่รุมล้อมอยู่ได้ 

ผู้เขียนเชื่อว่าในเวลานั้นกลุ่มนักศึกษาจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทุกภาคส่วนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองตามที่ประสงค์ ดังนี้กลุ่มนักศึกษาจึงควรเตรียมความพร้อมในการรวมพลังประชาชนทุกภาคส่วนทั่วประเทศภายใน 6-9 เดือนข้างหน้า และหากรัฐบาลสามารถจัดการปัญหาวิกฤติระดับศตวรรษนี้

ได้เป็นที่น่าพอใจก็สามารถรวมพลังประชาชนนี้ในการสนับสนุนการเลือกตั้งครั้งต่อไป กล่าวโดยสรุปคือการเคลื่อนไหวทางการเมืองของทุกภาคส่วนควรคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่มิใช่คำนึงถึงความปรารถนาหรือตรรกะส่วน(กลุ่ม)ตนเป็นหลัก อันจะเป็นการซ้ำเติมประเทศชาติและประชาชน ให้วิกฤติปัญหาที่รุมล้อมอยู่ยากแก่การแก้ไขมากยิ่งขึ้นไปอีก

แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าผู้เขียนไม่สนับสนุนการชุมนุมทางการเมืองโดยเฉพาะการชุมนุมทางการเมืองโดยสันติของนักศึกษาซึ่งแม้จะมีผลกระทบทางลบบ้าง แต่เมื่อพิจารณาถึงบทบาทของผู้ชุมนุมในการตรวจสอบ และกดดัน การทำงานของรัฐบาล รวมถึงทำให้เกิดการชำระล้างหน่วยงานราชการให้โปร่งใสมากขึ้น ถือว่าเป็นการอำนวยประโยชน์ให้แก่ประชาชนอย่างสูงและในอีกมุมหนึ่งผู้เขียนเองก็สนับสนุนให้รัฐบาลทุ่มเทกอบกู้ภาวะวิกฤติของประเทศด้วยการใช้โมเดลในการจัดการกับวิกฤติโควิด-19 อย่างเต็มที่ โดยเป็นอิสระจากอำนาจต่อรองของขั้วการเมืองและระบบการเมืองเดิมเช่นระบบรัฐมนตรีโควตา และระบบราชการในส่วนที่ล้าช้า เป็นต้น

แต่ผู้เขียนก็ขอประณามการใช้ความรุนแรง ละเมิดสิทธิหรือการกระทำอันใดจากกลุ่มใดอันเป็นการปลุกปั่น ยั่วยุ สร้างประเด็นปัญหาให้เกิดการเบี่ยงเบนออกจากประเด็นการกอบกู้ประเทศชาติให้รอดพ้นจากวิกฤติในทุกกรณี

แท้ที่จริงแล้วประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่ตอนนี้ต้องการความร่วมมือ การรวมพลังความคิดอ่านดำเนินการและการระดมทรัพยากรในทุกมิติเพื่อกอบกู้วิกฤตที่รุมล้อมประเทศชาติและประชาชนอยู่ในขณะนี้จึงขอให้ทุกฝ่ายตั้งสติทำความตระหนักว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้เราแก้ไขปัญหาปากท้องเฉพาะหน้า ในช่วง 6-9เดือนนี้ไม่ใช่การแสวงหาความชอบธรรมทางการเมือง กล่าวคือเวลานี้ไม่ใช่เวลามาจับผู้ร้าย หรือมาจับผิดซึ่งกันและกัน แต่เป็นเวลาที่ต้องทำให้ทุกฝ่ายเล่นบทเป็นพระเอกให้ดีให้ได้ ไม่นิยามกลุ่มคนที่มีความเห็นทางการเมืองต่าง สร้างความเคลื่อนไหวทางสังคมใดๆ รังแต่จะบั่นทอนหรือ ทำให้เกิดการเบี่ยงเบนจากความใส่ใจในการกอบกู้ปัญหาวิกฤติทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมไทยในปัจจุบันนี้

ในห้วงวิกฤตเช่นนี้ทำอะไร พูดหรือคิดอะไร ให้ตระหนักเสมอว่า เราเป็นคนไทยด้วยกัน เป็นเจ้าของประเทศร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีความใส่ใจในเรื่องการบริหารการปกครองประเทศ เพราะเห็นแก่ประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ยิ่งควรเคารพให้เกียรติ สมัครสมานสามัคคีกันให้มาก เพื่อนำพาประเทศชาติฝ่าฟันให้รอดพ้นวิกฤติเฉพาะหน้านี้ และการครอบงำของกลุ่มประเทศมหาอำนาจ ที่พร้อมจะกลืนกินคุณค่าของประเทศชาติ และผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยตลอดมาไปได้ด้วยสติปัญญาความสงบและสง่างาม

โดย...

ดร. ไพทัน ตระการศักดิกุล

ตระการ ไตรพิเชียรสุข