ชี้นำเพื่อครองชีวิต

ชี้นำเพื่อครองชีวิต

หนังสือที่เขียนโดยผู้มีประสบการณ์ชีวิต ช่วยชี้แนะการครองชีวิตคือขุมทรัพย์แห่งปัญญาของคนรุ่นหลัง

น่าเสียดายที่สังคมไทยมีหนังสือทำนองนี้อยู่ไม่มากนัก ผู้เขียนพบหนังสือเล่มน้อยชื่อ โควิด 9 บท ที่เขียนขึ้นระหว่างถูกล็อกดาวน์ โดยคุณก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ บิ๊กบอสของ 7-11 จึงขอตัดบางตอนมาให้อ่านกัน

ศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญสำหรับมนุษย์จำนวนมาก บ่อยครั้งฆ่ากันตายเพราะการหมิ่นศักดิ์ศรี ความหมายของศักดิ์ศรีจากมุมมองของคุณก่อศักดิ์มีดังนี้

“...ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ คือ ศักดิ์ศรีของคนทำงานทุกคนในประเทศที่เจริญแล้ว อย่างเช่นญี่ปุ่น ใครมีอาชีพหรือหน้าที่อะไรก็จะถือว่ามีความรับผิดชอบต่อสังคมในบทบาทของตนเอง แม้กระทั่งคนกวาดถนน ก็ไม่มีใครรังเกียจหรือดูถูกว่าเป็นอาชีพต่ำต้อย เพราะถ้าขาดเขาแล้วถนนหนทางก็จะระเกะระกะไปด้วยขยะและสิ่งสกปรก แต่สังคมจะไม่ยอมรับผู้ที่ไม่ช่วยกันผลิต เช่นมิจฉาชีพหรือลูกคนรวยที่ไม่ทำงานทำการ คนเหล่านี้คือสมาชิกที่ไม่ดีเป็นที่รังเกียจของประชาชนโดยทั่วไป  

ผู้ที่ปฏิบัติงานในบางสาขาอาชีพก็ต้องเสี่ยงภัยอันตราย เช่น ตำรวจมีโอกาสเผชิญหน้ากับผู้ร้ายที่มีปืนอยู่ในมือจึงสามารถเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ รวมถึงพนักงานร้านเซเว่นฯ ทั่วประเทศที่ต้องบริการลูกค้าสิบกว่าล้านคนต่อวัน ก็มีความเสี่ยงต่อภัยอันตรายไม่ต่างจากตำรวจ แต่พนักงานร้านทุกคนก็ต้องพร้อมทำหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง นี่ก็คืองามของผู้มีศักดิ์ศรีที่เปี่ยมไปด้วยความรับผิดชอบ

มีศักดิ์ศรีไม่ได้อยู่ที่นามสกุล สถาบันการศึกษา ตำแหน่ง ยศศักดิ์ แต่อยู่ที่ (1) ไม่รับในสิ่งที่ไม่ควรรับ (2) ให้ในสิ่งที่ควรต้องให้ เช่น ตำรวจ ทหาร แพทย์ พยาบาลที่ทำงานอยู่ท่ามกลางอันตรายต้องสละได้แม้กระทั่งชีวิต (3) ปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเข้มแข็งอดทนไม่ย่อท้อ ไม่หวาดหวั่น

ใครรักษาหลักการ 3 ข้อนี้ได้ครบถ้วน ก็ถือได้ว่าเป็นผู้มีศักดิ์ศรีอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพไหนก็ตาม แม้แต่เป็นคนกวาดถนนก็สามารถอยู่ได้อย่างภาคภูมิใจในตัวเองว่าไม่ได้แบมือขอทานจากใคร ส่วนผู้ที่ไร้ศักดิ์ศรีก็คือผู้มีตำแหน่งหน้าที่แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่ไปทำสิ่งเลวร้าย สร้างความร่ำรวยโดยเอาเปรียบผู้อื่น

ในยามวิกฤติคนไร้ศักดิ์ศรีประเภทนี้จะเปิดเผยโฉมหน้าอันแท้จริงออกมาให้เห็นได้ง่ายขึ้น จากนั้นก็จะถูกสังคมรุมประณามจนไม่เหลือความน่าเคารพยกย่องอีกต่อไป เงินทองที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้องชอบธรรมนั้น แลกกับศักดิ์ศรีไม่ได้ พวกเขารู้ดีว่าไม่อาจจะเชิดหน้าเดินอย่างอาจหาญและต้องเจ็บปวดกับบาดแผลในใจไปตลอด รวมทั้งคอยหวาดผวารอการมาเยือนของผลกรรมเล็กบ้างใหญ่บ้าง เร็วบ้างช้าบ้างแล้วแต่กรณี...”

ในเรื่องการปกครองผู้นำและทัศนะสำหรับผู้บริหารนั้นมีดังนี้ ...ซุ่นจื๊อ (ประมาณ 313 BC-238 BC) เมธีจีนโบราณผู้เป็นหลานศิษย์ชื่อเสียงโด่งดังของขงจื๊อได้บันทึกไว้ในสรรนิพนธ์ของตนว่า "น้ำหนุนเรือให้ลอยได้และล่มเรือให้จมได้เช่นกัน" เป็นการเปรียบเปรยว่าประชาชนนั้นเป็นเสมือนน้ำ ส่วนผู้ปกครองเป็นเสมือนเรือ ผู้ปกครองจะดำรงอยู่ได้ก็ด้วยการสนับสนุนของประชาชน... แนวคิดนี้ถือว่าก้าวหน้ามากในยุคสองพันกว่าปีที่แล้ว

ผู้ปกครองต้องตระหนักถึงพลังและความสำคัญของประชาชน ไม่แยแสใส่ใจความทุกข์ยาก ประชาชนก็มีความชอบธรรมที่จะรวมตัวกันเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวผู้ปกครองเป็นคนใหม่

ฉันใดก็ฉันนั้นในการบริหารองค์กร หัวหน้าก็ควรจะเข้าใจว่าลูกน้องยินดีอยู่ใต้บังคับบัญชา พร้อมจะร่วมแรงร่วมใจไปสู่เป้าหมายเดียวกันหรือไม่ หากทีมงานไม่พอใจ ไม่ยอมรับ จะนำไปสู่ปัญหามากมาย และอาจถึงขั้นเกิดการต่อต้านจนพังกันไปทั้ง 2 ฝ่าย

การปกครองจึงต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ สำหรับผู้ที่มีภาวะผู้นำปกก็คือปกป้อง ปกปักรักษา ครองคือครองใจทีมงานให้ทำงานอยู่ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข ตรงกันข้าม คนที่ไม่มีภาวะผู้นำ ก็จะมองตนเองว่าเป็นชนชั้นปกครองสามารถทำอะไรกับผู้ใต้บังคับบัญชาก็ได้ ย่อมก่อให้เกิดคลื่นใต้น้ำแห่งความอึดอัดใจ ซึ่งอาจขยายกลายเป็นสึนามิถาโถมถล่มองค์กรได้ในระยะยาว

อำนาจในการปกครองนั้นมีที่มาต่างกันหลากหลาย มีทั้งอำนาจที่มาจากตำแหน่งเพื่อใช้ทำงานให้บรรลุผลเรียกว่า อำนาจตามหน้าที่ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Authority ซึ่งเมื่อไม่ได้อยู่ในตำแหน่งแล้วอำนาจนี้ก็หมดไป แต่ก็มีอำนาจที่ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งยศศักดิ์ เป็นอำนาจที่อยู่กับตัวบุคคล เช่น เจ้าพ่อที่คนหวั่นเกรง อำนาจชนิดนี้เรียกว่าอิทธิพลหรืออำนาจมืด ผู้มีอำนาจประเภทนี้จะควบคุมผู้อื่นด้วยความหวาดกลัวและ/หรือผลประโยชน์ จึงมักจะยิ่งใหญ่ได้ไม่ยั่งยืนหากก่อเรื่องไม่ดีจนเกินควร และจะมีอันเป็นไปแบบจบไม่สวย

คนส่วนใหญ่มุ่งแสวงหาอำนาจ แต่ผู้ปกครองหรือผู้บริหารที่ดีจะใฝ่หาคุณสมบัติ ผมคิดว่าคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ก็คือการมีโลกทัศน์ชีวทัศน์และทัศนะเชิงคุณค่าที่ถูกต้องเหมาะสม คนทั่วไปก็อาจจะมีทัศนะ 3 ประการนี้อยู่โดยไม่รู้ตัว คล้ายกับเป็นภาพที่พร่าเลือน แต่สำหรับนักบริหารแล้ว สามทัศนะนี้ต้องเป็นภาพที่ชัดเจนอยู่ทุกขณะจิต

ถัดมาจากโลกทัศน์ก็คือชีวทัศน์ซึ่งเป็นเรื่องทัศนะต่อชีวิต เราทุกคนคงจะเคยตั้งคำถามกับเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ความหมายของชีวิตคืออะไร ส่วนตัวผมเองมีความเห็นว่า "ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน" ไม่ใช่ "ค่าของคนอยู่ที่คนของใคร" อย่างที่ล้อเลียนกันทั่วไป แต่ละคนควรค้นให้พบคุณค่าและความหมายในชีวิตของตนเองเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายมีคุณค่า สมกับเวลาที่เสียไป

สุดท้ายคือเรื่องทัศนะเชิงคุณค่า เป็นการให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ รอบตัว ซึ่งจะนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติตนว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ ผมเชื่อว่าในสังคมไทยที่คนส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับผู้ปกครองหรือผู้บริหารก็คือพรหมวิหาร 4 อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ผู้คนในปกครองและจะช่วยสร้างบรรยากาศที่สงบสุขอบอุ่น เอื้ออาทรต่อกันเหมือนคนในครอบครัว

ทัศนะทั้ง 3 นี้เป็นเรื่องภายใน ส่วนการแสดงออกภายนอกให้ผู้อื่นได้สัมผัสพบเห็นก็เป็นสิ่งสำคัญ ผู้ใต้บังคับบัญชาจะคาดหวังอะไรจากผู้นำในยามวิกฤติ พวกเขาย่อมหวังให้ผู้นำช่วยนำพาทุกคนให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้ตลอดรอดฝั่งด้วยอารมณ์ที่หนักแน่นสุขุมสงบนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกหรือตื่นตูมลนลานจนทีมงานปั่นป่วนไปหมด ดังเช่นที่สำนวนจีนเปรียบเทียบไว้ว่า "ขุนเขาไท่ซานพังทลายลงตรงหน้าก็ไม่สะทกสะท้าน"

"ผู้นำที่ดีต้องมีทั้งสติและปัญญาที่จะกำหนดกลยุทธ์ให้เหมาะสมต่อสถานการณ์ เป็นเสาหลักอันมั่นคงอยู่ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ.....

ไม่ว่าพายุจะรุนแรงเพียงใด ชีวิตแปรผันไปอย่างใด หรือมีสิ่งเลวร้ายใดเกิดขึ้นความจริงก็คือ “ชีวิตดำเนินต่อไปเสมอ”