ภาพการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ…ที่ชัดขึ้น

ภาพการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ…ที่ชัดขึ้น

สัปดาห์นี้ถือว่าเราเริ่มจะเห็นภาพการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐที่ชัดเจนขึ้น โดยในภาพรวมผมยังมองว่าถึงวันเลือกตั้ง

โจ ไบเดน ก็ยังน่าจะมีคะแนนเสียงเหนือกว่าโดนัลด์ ทรัมป์ ทว่าคงจะนำทรัมป์อยู่ไม่เกินร้อยละ 3-4 อย่างไรก็ดี ทรัมป์น่าจะออกลูกลีลาเหมือนการเมืองในแถบโลกตะวันออก ส่งผลให้ไบเดนเอาเข้าจริงในวันเลือกตั้งจริง ก็อาจจะไม่ชนะการเลือกตั้งได้ง่ายๆ เช่นกัน ดังที่ผมจะอธิบายดังนี้

ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าเพราะเหตุใดทรัมป์ถึงออกอาการแขยง ถึงขนาดย้ำหลายรอบว่าการเลือกตั้งโดยใช้ไปรษณีย์จะเกิดการโกงกันแบบมโหฬาร ซึ่งผมมองว่าการที่ทรัมป์ออกมาโวยวายในรอบนี้ เหมือนกับเป็นการโยนหินถามทางเพื่อทดสอบปฏิกิริยาของนักการเมืองพรรครีพับลิกันว่าจะมีปฏิกิริยารุนแรงมากน้อยแค่ไหน ต่อการโวยวายของเขาในครั้งนี้

ทั้งนี้ หากมาสำรวจมลรัฐที่มีแนวโน้มว่าจะใช้ไปรษณีย์ในการออกเสียงเลือกตั้งก็น่าจะได้แก่รัฐที่โควิดยังแรงอยู่ อันประกอบด้วยฟลอริดา เท็กซัส และแคลิฟอร์เนีย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นรัฐที่ทรัมป์พลาดไม่ได้ทั้งสิ้น หากคิดจะชนะไบเดน แถมคะแนนของทั้งคู่ในตอนนี้ยังสูสีอีกด้วย

หรืออาจจะตั้งคำถามอีกมุมหนึ่งว่า ณ ตอนนี้ทำไมทรัมป์ถึงเสียเปรียบไบเดนอย่างมากหากต้องโหวตกันทางไปรษณีย์?

คำตอบคือน่าจะเนื่องมาจาก 3 เหตุผล ดังนี้

1.ฐานเสียงทรัมป์มีรายได้ต่ำกว่าของไบเดน ซึ่งหลายรัฐบังคับให้ผู้ลงคะแนนเสียงต้องจ่ายค่าแสตมป์และซองเอง ตรงนี้เองน่าจะส่งผลให้สัดส่วนของฐานเสียงของทรัมป์ที่จะไปลงคะแนนเสียงลดลงมากกว่าของไบเดน

2.ผู้หญิงซึ่งตามโพลล์เลือกทรัมป์น้อยมาก โดยน้อยกว่าไบเดนหลายเท่า มีโอกาสจะใช้จดหมายในการลงคะแนนเสียงมากกว่าผู้ชาย เพราะโดยธรรมชาติ ผู้ชายมักจะไม่ชอบทำอะไรที่ขั้นตอนเยอะ ซึ่งตรงนี้ผู้หญิงน่าจะลงคะแนนเสียงกระหึ่มแน่หากใช้ไปรษณีย์ในการเลือกตั้ง

ท้ายสุดว่ากันว่าทรัมป์สามารถบังคับหรือใช้อำนาจจากภายนอกบังคับให้บริษัท Big Tech โดยเฉพาะ Social Media ทำในเรื่องต่างๆ นอกจากนี้บรรดา Social Media น่าจะมีแนวโน้มเขียน Algorithm เชียร์ไปทางทรัมป์ เนื่องจากถ้าไบเดนขึ้นมาเป็นผู้นำมีโอกาสที่บรรดา Big Tech เหล่านี้จะโดนภาษีหนักขึ้น อีกทั้งกฎหมาย Antitrust น่าจะส่งผลกระทบอย่างหนักเพื่อให้บริษัทเหล่านี้ลดขนาดลง

อย่างไรก็ดี ความได้เปรียบนี้ของทรัมป์จะหมดไปหากมีการทำการโหวตทางไปรษณีย์ นั่นหมายความว่าประชาชนในส่วน Offline จะออกมาโหวตทางไปรษณีย์มากขึ้น ซึ่งประชาชนเหล่านี้มักจะ Online ค่อนข้างน้อย ส่งผลต่อคะแนนเสียงของทรัมป์ที่จะลดลง

มีสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นเรื่องย้อนแย้งคือ ทรัมป์บอกว่าไม่ต้องการโหวตผ่านเมลทั้งหมด แต่ถ้าเป็นแบบ Absentee Voting หรือโหวตแบบที่ประชาชนมีธุระมาที่คูหาไม่ได้ เขาก็จะเห็นด้วย ซึ่งแสดงว่าทรัมป์ไม่ได้มีความชัดเจนในเรื่องนี้เสียทีเดียว

อย่างไรก็ดี ทรัมป์ไม่มีอำนาจที่จะเลื่อนเลือกตั้งได้ตามรัฐธรรมนูญในตอนนี้ คำถามคือทรัมป์ทำอะไรไม่ได้เลยสำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดการโหวตทางไปรษณีย์ ใช่หรือไม่?

คำตอบคือ ทรัมป์สามารถออกลูกลีลาได้โดยอาจเรียกร้องให้มีการบล็อกไม่ให้ฐานเสียงออกไปเลือก ทั้งยังสามารถออกกฎหมายให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีความยากลำบากในการเลือกตั้งแบบทางไปรษณีย์ อาทิ หาเหตุเพื่อปิดที่ทำการไปรษณีย์รวมถึงห้ามไม่ให้มี automatic voter registration หรือการที่ไม่ให้ชาวอเมริกันทุกคนสามารถโหวตได้แบบอัตโนมัติ โดยต้องมีการสกรีนกันก่อนในเบื้องต้น เพื่อไม่ให้ minority หรือคนผิวสีสามารถเลือกตั้งได้แบบสะดวก

ทั้งนี้ ผมมองว่าในขณะนี้แม้ว่าทางไบเดนจะมีคะแนนนำทรัมป์อยู่ค่อนข้างมาก ทว่าเมื่อใกล้ถึงวันเลือกตั้งเข้ามา นักการเมืองส่วนใหญ่ของพรรครีพับลิกันก็จะมีความรู้สึกเลือดข้นกว่าน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ โดยแม้จะไม่ชอบทรัมป์มากขนาดไหน ก็ต้องกลับไปหาฐานเสียงที่บ้านตัวเองเพื่อไปบอกกับชาวบ้านว่ายังไงก็ต้องเลือกทรัมป์ โดยมีโอกาสสูงที่ทรัมป์จะมีคะแนนตีตื้นไบเดนเข้ามากว่าตอนนี้ค่อนข้างมาก

ซึ่งก็มาถึงสิ่งที่ทรัมป์ได้พูดไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือหากการนับคะแนนผลการเลือกตั้งเพื่อชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในครั้งนี้ (ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้งทางไปรษณีย์) ไม่เสร็จสิ้นภายในคืนวันที่ 3 พ.ย. ก็จะถือว่ามีความไม่ชอบมาพากลในการนับคะแนนเสียง ซึ่งแน่นอนว่าด้วยคะแนนของทั้งคู่ที่ไม่น่าห่างกันขนาดที่นำแบบม้วนเดียวจบ แบบที่จะสามารถนับเสร็จภายในวันเดียว โอกาสที่ทรัมป์จะกล่าวหาว่ามีความโปร่งใสในการเลือกตั้งมีสูงมาก 

โดยทรัมป์จะรวบรวมหลักฐานความไม่สมบูรณ์ของการเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งแน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการออกกฎเกณฑ์โดยตัวเขาเอง

จากนั้นแล้วทำการร้องเรียนผ่านศาลว่าการเลือกตั้งไม่ชอบธรรม ซึ่งครั้งหนึ่งปี 2000 บุชเคยร้องเรียนผลการเลือกตั้งต่อศาลที่แข่งกับอัลกอร์ ให้นับคะแนนเสียงกันใหม่

ในมุมของศาลยุติธรรมถ้าเกิดการร้องเรียนจริงๆ ผมมองว่าทรัมป์ถือว่าน่าจะได้เปรียบ เนื่องจากผู้พิพากษาระดับบนๆ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาเขาเป็นคนเซ็นแต่งตั้งเองแทบทั้งสิ้นครับ