วิถีลงทุนNew Normalเป็นทั้งหลุมหลบภัย-ขุมทรัพย์(ตอนสุดท้าย)

วิถีลงทุนNew Normalเป็นทั้งหลุมหลบภัย-ขุมทรัพย์(ตอนสุดท้าย)

ใน 2 ตอนที่แล้ว เราเขียนถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มการนวัตกรรมทางการแพทย์

ที่มีกระแสการเปลี่ยนแปลงหลักของโลก (Megatrend) เป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับ ทำให้สร้างผลตอบแทนอย่างโดดเด่น แต่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัญหาความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ ปะทุขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวลง ความขัดแย้งนี้มีแนวโน้มจะลากยาวไปถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในช่วงปลายปีเป็นอย่างน้อย ในตอนนี้ เราจึงแนะนำสินทรัพย์ที่ผู้ลงทุนควรมีในพอร์ตเพื่อเป็นหลุมหลบภัยยามตลาดหุ้นผันผวน

นอกจากความผันผวนแล้ว อีกหนึ่งความปกติใหม่ หรือ New Normal ที่ทั่วโลกต้องเผชิญก็คือภาวะดอกเบี้ยต่ำ หลังจากธนาคารกลางทั่วโลกรวมถึงไทย พร้อมใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อประคองเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกปรับลดลงทำจุดต่ำสุด และมีพันธบัตรบางประเทศ เช่น เยอรมนี สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ด้วยผลตอบแทนติดลบ ในระยะข้างหน้า เราประเมินว่าดอกเบี้ยทั่วโลกจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกนานจากเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวและธนาคารกลางอาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่อเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นกิจกรรมเศรษฐกิจเมื่อสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย

ดังนั้น สินทรัพย์ที่จะเป็นชิ้นส่วนสำคัญท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยต่ำ จะต้องให้ผลตอบแทนในรูปของรายได้ (Income) อย่างสม่ำเสมอ เช่น ตราสารหนี้ และ REITs (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) เป็นต้น

ตราสารหนี้

ดอกเบี้ยพันธบัตรที่อยู่ในระดับต่ำสร้างรายได้น้อย ดังนั้น ทางเลือกในการเพิ่มกระแสเงินสดคือการลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่ให้ผลตอบแทนส่วนเพิ่ม (Credit Spread) โดยผู้ลงทุนส่วนใหญ่เน้นไปที่หุ้นกู้ในภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากยังเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจเติบโตได้ดี มีอุตสาหกรรมให้เลือกลงทุนหลากหลาย รวมทั้งระดับดอกเบี้ยในตลาดโดยรวมค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับยุโรปและสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น ตลาดหุ้นกู้จีน ที่มีความต้องการจากผู้ลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ทำให้ขนาดของตลาดขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยตั้งแต่ต้นปี บริษัทเอกชนเสนอขายหุ้นกู้รวม 6.4 ล้านล้านหยวน มากกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วถึง 44% และหากพิจารณาในด้านพื้นฐานทางเศรษฐกิจแล้ว จีนถือว่าเป็นประเทศที่จัดการกับโรคโควิด 19 ได้รวดเร็วและเด็ดขาด จนทำให้สามารถเปิดประเทศและมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจขยายตัวได้ตั้งแต่ไตรมาส 2/2020

แม้จะมีรายได้ดอกเบี้ยที่ดีเป็นแรงจูงใจ แต่ผู้ลงทุนต้องไม่ลืมว่าความเสี่ยงของตราสารหนี้คือ การผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งประเด็นนี้ ตลาดตราสารหนี้เอเชียในภาพรวม นับได้ว่ามีเสถียรภาพ ตั้งแต่ต้นปี มีอัตราการผิดนัดชำระหนี้ของหุ้นกู้กลุ่ม High Yield เพียง 10 ราย รวมมูลค่า 5.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นสัดส่วนการผิดนัดชำระหนี้ (Default ratio) ที่ 2.2% เท่านั้น ต่ำกว่าสหรัฐฯ ที่อยู่ที่ราว 5.0-5.5%

REITs (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์)

REITs ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า จะส่งต่อรายได้จากค่าเช่าให้ผู้ลงทุนเป็นเงินปันผล แม้ไม่มีประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ แต่ผู้ลงทุนต้องเลือกอุตสาหกรรมที่ได้ผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวจำกัด และสอดรับกับวิถี New Normal ในอนาคต ได้แก่ Industrial REITs เช่น โกดังให้เช่าแก่บริษัทที่ทำธุรกิจ E-Commerce หรือ Specialized REITs เช่น ให้เช่า Data Center หรือเสาสัญญาณโทรคมนาคม นอกจากนี้ REITs ผู้ให้เช่าอพาร์ทเมนต์ มีความผันผวนต่ำ และยังมีความต้องการอยู่มาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่ที่อยู่อาศัยมีราคาสูง และเช่นเดียวกับตราสารหนี้ ผู้ลงทุนควรเน้น REITs ในเอเชีย เพราะสามารถรับมือกับโรคโควิด 19 ได้ดีกว่าชาติตะวันตก ทำให้ธุรกิจมีโอกาสกลับมาดำเนินตามปกติได้เร็วกว่า

ในทางการกลับกัน ควรหลีกเลี่ยง REITs ที่ได้ผลกระทบเชิงลบจากวิถี New Normal ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกที่ถูกกดดันจากการที่ผู้คนซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น กลุ่มสำนักงานให้เช่าซึ่งความต้องการจะลดลงหลังจากที่หลายบริษัทให้ความยืดหยุ่นในการทำงานที่บ้าน และกลุ่มที่พึ่งพาการเดินทางและท่องเที่ยวซึ่งมีแนวโน้มจะฟื้นตัวช้า เช่น โรงแรม

หัวใจสำคัญในการสร้างขุมทรัพย์ความมั่งคั่งในระยะยาวและเป็นหลุมหลบภัยในยามตลาดผันผวนคือ การกระจายความเสี่ยงในสินทรัพย์ที่หลากหลาย รวมถึงการบริหารพอร์ตเชิงรุกผ่านการวิเคราะห์ปัจจัยรอบด้าน เพื่อลดความผันผวนในระยะสั้นและสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอในระยะยาว