ตลาดหุ้นแกว่งตัวรอผลประกอบการไตรมาส 2

ตลาดหุ้นแกว่งตัวรอผลประกอบการไตรมาส 2

SET Index แกว่งตัวในกรอบแคบบริเวณ 1,320-1,390 ในช่วงเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่ๆ

ตลาดเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลการประกาศผลประกอบการอีกครั้ง โดยธนาคารพาณิชย์เป็นกลุ่มแรกที่จะประกาศผลการดำเนินงาน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่กลางเดือนกรกฎาคม และบริษัทในกลุ่มอื่นๆ จะทยอยประกาศในช่วงต้นถึงกลางเดือนสิงหาคม

สำหรับธนาคารพาณิชย์บางแห่งที่ประกาศงบไตรมาส 2 ออกมาแล้ว พบว่ากำไรลดลงค่อนข้างมาก แม้ว่าส่วนใหญ่จะเห็นสินเชื่อเติบโตได้ดี เนื่องจากเกิดความผันผวนในตลาดตราสารหนี้ ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องพึ่งพาเงินกู้ธนาคารแทนการออกหุ้นกู้ รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยก็ลดลงตามการเติบโตของสินเชื่อ รวมถึงรายได้จากธุรกิจประกันภัยและธุรกิจจัดการกองทุนยังคงหดตัว แม้ว่าจะมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาเสริมบ้าง แต่ปัจจัยใหญ่ที่ฉุดรั้งกำไรของธนาคารคือ การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในปริมาณที่เพิ่มขึ้นมาก แม้ว่าอัตราส่วน NPLs จะยังคงใกล้เคียงกับในไตรมาส 1 ส่วนหนึ่งเพื่อเตรียมพร้อมปริมาณ NPLs ที่อาจเกิดขึ้นหลังสิ้นสุดมาตรการผ่อนผันการชำระค่างวดตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมเป็นต้นไป โดยปริมาณลูกค้าที่เข้ามาตรการความช่วยเหลือในธนาคารที่เน้นลูกค้า SMEs มีเป็นจำนวนมาก คิดเป็นกว่า 40% ของสินเชื่อทั้งหมด ทำให้มีแนวโน้มที่ธนาคารยังคงต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญในระดับสูงในปีนี้และต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ยิ่งไปกว่านั้น ในครึ่งปีหลัง อัตราดอกเบี้ยนโยบายยังมีแนวโน้มลดลงอีก 1 ครั้ง ซึ่งจะยิ่งกดดันกำไรรวมของกลุ่มธนาคารพาณิชย์

สำหรับกลุ่มที่เกี่ยวเนื่องกับธนาคารพาณิชย์ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจบัตรเครดิต ในปลายเดือนมิถุนายน ทางธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคลลงเหลือ 25% สินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์เหลือ 24% สินเชื่อบัตรเครดิตเหลือ 16% และสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์เหลือ 33%  คิดเป็นการลดลงของดอกเบี้ยประมาณ 2-4% เริ่มบังคับใช้ 1 สิงหาคม 2563 ซึ่งผู้ประกอบการบัตรเครดิตจะได้รับผลกระทบโดยตรง เนื่องจากเกือบทุกรายมีการเก็บดอกเบี้ยบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลเต็มอัตราที่ 18% และ 28% ตามลำดับ และผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่ออกมาก็อ่อนตัวลง ทั้งจากการเติบโตของสินเชื่อที่ลดลงมาก จากการบริโภคที่หยุดชะงัก ยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรลดลง และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้นมหาศาล ตามคุณภาพสินเชื่อที่ถดถอย ส่วนผู้ประกอบการในกลุ่มจำนำทะเบียนรถยนต์หรือรถแลกเงิน อาจได้รับผลกระทบเล็กน้อย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บลูกค้าในปัจจุบันอยู่ในระดับ 22-25% ใกล้เคียงกับอัตราเพดานดอกเบี้ยใหม่ ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 2 มีแนวโน้มอ่อนตัวเช่นกัน จากแนวโน้มสินเชื่อชะลอตัว และการตั้งสำรองที่สูงขึ้น

อีกกลุ่มหนึ่งที่มีแนวโน้มผลกำไรลดลงและอาจแย่กว่าคาด คือ กลุ่มค้าปลีก โดยเฉพาะร้านสะดวกซื้อ ที่เป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรบาง และต้องอาศัยโวลุ่มขายจำนวนหนึ่งเพื่อชดเชยต้นทุนคงที่ ซึ่งในไตรมาส 2 นั้น เป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบจากการ Lock Down อย่างเต็มที่ การจำกัดเวลาเปิดปิดร้าน การปิดห้างสรรพสินค้า และการงดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ยอดขายต่อสาขาเดิมลดลงมาก โดยเฉพาะยอดขายอาหารพร้อมรับประทานที่มีอัตรากำไรดี อีกทั้งยังแทบไม่มีการเปิดสาขาเพิ่มในไตรมาสนี้ ทำให้คาดว่าหลายๆ บริษัทอาจประกาศผลประกอบการออกมาขาดทุน

 ส่วนกลุ่มที่กำไรในไตรมาส 2 จะไม่ดี และยังไม่มีแนวโน้มฟื้นตัว ยังคงเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ในต่างประเทศยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาที่เริ่มเห็นตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นหลังมีการผ่อนปรนการเว้นระยะห่าง หรือแม้กระทั่งในแถบเอเชียอย่างเช่น ฮ่องกง และญี่ปุ่น ก็เห็นการระบาดซ้ำเป็นรอบที่ 2-3 ทำให้อาจต้องมีการ Lock Down อีกครั้ง ดังนั้น การที่ประเทศไทยจะเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวอีกครั้งจึงยังเป็นอนาคตที่มืดมน และคาดว่าอาจจะต้องรอจนกว่าจะมีวัคซีน การท่องเที่ยวระหว่างประเทศจึงจะเริ่มฟื้นตัวได้อีกครั้ง ซึ่งเร็วที่สุดอาจจะเป็นในช่วงต้นปีหน้า กำไรของบริษัทในกลุ่มนี้จะถูกกดดันจากต้นทุนคงที่และค่าเสื่อมราคา อาจเห็นผลประกอบการอาจขาดทุนและฟื้นตัวได้ช้า ทำให้หุ้นในกลุ่มโรงแรม สายการบิน การท่องเที่ยว และสนามบิน ยังเป็นกลุ่มที่ไม่น่าสนใจเข้าลงทุนในระยะสั้น - กลางนี้

การลงทุนในระยะนี้ ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาคืองบการเงินของบริษัทนั้นๆ นักลงทุนควรเลือกหุ้นเป็นรายตัว และเน้นลงทุนในบริษัทที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคน้อย และมีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็ว โดยหลีกเลี่ยงหุ้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวออกไปก่อน ซึ่งหลังการประกาศงบการเงินไตรมาส 2 จะทำให้นักลงทุนสามารถเห็นภาพรวมของผลประกอบการทั้งปีได้ชัดเจนยิ่งขึ้น