ลดความเป็นการเมือง เพิ่มความเป็นหนึ่งเดียวกัน
อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีความพร้อมสูงสุดในโลกดูจะไม่มีบทบาทเลยในสถานการณ์เช่นนี้
นับตั้งแต่การระบาดของโรคโควิด-19 กระจายไปทั่วโลก สหรัฐอเมริกาเริ่มวางท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศต่าง ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะจีนที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่า เป็นต้นกำเนิดของโรคระบาด ก่อนจะเบนเข็มมาสู่องค์กรอนามัยโลกหรือ WHO จนถึงขั้นประกาศถอนตัวจากองค์กรดังกล่าวและตัดเงินสนับสนุนทั้งหมด
หลังจากนั้นเมื่อมีท่าทีว่าสหรัฐฯอาจไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ และมีการประท้วงต่อต้านการควบคุมพลเมืองเกิดขึ้นในหลายๆ มลรัฐ ประธานาธิบดีทรัมป์ก็หันมาปะทะกับผู้ว่าการรัฐต่างๆ โดยเชื่อว่าเป็นประเด็นทางการเมือง ทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลายยิ่งกว่าเดิม
แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยังไม่หยุดสร้างศัตรู หันมาโจมตีสื่อมวลชนสำนักต่างๆ โดยกล่าวหาว่า บิดเบือนข่าวสารและสร้างสถานการณ์ให้ร้ายแรงเกินจริง จนส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากไม่เชื่อว่ามีโรคนี้เกิดขึ้น แต่เป็นเพียงข่าวลือที่โจมตีรัฐบาลเท่านั้น จนถึงวันนี้ สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตอันดับหนึ่งของโลก จนทุกวันนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงทำลายสถิติเดิมอย่างต่อเนื่อง เพราะการป้องกันตัวเองของประชาชนด้วยการสวมใส่หน้ากากกลายเป็นประเด็นทางการเมือง กลายเป็นการสร้างคะแนนนิยมของขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้าม
กว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ จะยอมกลับลำส่งเสริมให้ประชาชนชาวอเมริกันสวมใส่หน้ากากเพื่อลดโอกาสติดเชื้อ ทุกอย่างก็ดูจะสายเกินไป เพราะจำนวนผู้ป่วยในห้องไอซียูของโรงพยาบาลส่วนใหญ่เต็มจนล้นเพราะมีปริมาณผู้ติดเชื้อมากเกินไป อิทธิพลในเวทีโลกของสหรัฐอเมริกาในฐานะมหาอำนาจทางการทหารดูจะเสื่อมความขลังลงอย่างสิ้นเชิงเมื่อไม่สามารถรักษาชีวิตประชาชนชาวอเมริกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีความพร้อมสูงที่สุดในโลกดูจะไม่มีบทบาทเลยในสถานการณ์เช่นนี้
เป็นไปได้ไหมประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ จะไม่ล่วงรู้ หรือไม่มีแผนป้องกันโรคระบาดอย่างโควิด-19 ใดๆ เลย ก็ต้องย้อนไปดูประกาศของศูนย์ควบคุมโรคหรือ CDC ที่แสดงให้เห็นว่าบุคลากรทางการแพทย์ของสหรัฐฯ เล็งเห็นภัยร้ายแรงจากโรคระบาดในลักษณะนี้มานานแล้ว
เช่นเดียวกับบิล เกตส์ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟท์ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของมูลนิธิบิลและเมลินดาเกตส์ ก็ประกาศเตือนให้แต่ละประเทศวางแผนรับมือกับโรคระบาด พร้อมให้เงินสนับสนุนการค้นคว้าและวิจัยมหาศาลนับหมื่นล้านบาทเพราะเล็งเห็นความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากประชาคมโลกไม่สามารถรับมือกับการระบาดในระดับโลกได้
แล้ววันนี้โลกก็ได้เห็นว่าการระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยใด ๆ ที่มนุษย์เคยให้ความสำคัญทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศร่ำรวยหรือประเทศยากจนก็ล้วนติดเชื้อและสูญเสียประชากรให้กับโรคร้ายไม่ต่างกัน จะเป็นประเทศเล็กหรือประเทศใหญ่ ความพร้อมของกองทัพ ความแข็งแกร่งของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม ฯลฯ ก็ไม่สำคัญเช่นกัน เพราะไม่ว่าจะเป็นผู้นำทางการทหาร ผู้นำทางธุรกิจและอุตสาหกรรม ก็ล้วนได้รับผลกระทบจากโรคระบาดดังกล่าวไม่แตกต่างกันเลย
ประชาคมโลกจึงเหมือนอยู่ในเรือลำเดียวกันอย่างแท้จริง การตั้งต้นรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ จึงต้องมองให้ทะลุ และทุกคนในประเทศต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งนับเป็นโชคดีของประเทศไทยที่เราไม่ปล่อย ให้การกำกับดูแลเป็นไปตามกระแสการเมือง
เมื่อคนไทยทุกคนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน และเริ่มต้นรับมือกับโรคร้ายอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม แม้จะมีการระบาดเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกประเทศบ้าง เราก็จัดการได้อย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว เป็นเครื่องพิสูจน์ความความเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้นที่จะทำให้เรารอดผ่านสถานการณ์ครั้งนี้ไปได้