มุทิตาธรรม .. แด่สตรีท่านแรก “ประธานศาลฎีกา”

มุทิตาธรรม .. แด่สตรีท่านแรก “ประธานศาลฎีกา”

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา.. เข้าสู่ฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายของข้าราชการทุกหมู่เหล่า

 ในยามนี้จึงได้เห็นปรากฏการณ์วิ่งเต้นฝุ่นตลบอบอวลไปด้วยอามิสบูชาหลากหลายรูปแบบ นับเป็นซีซั่นพิเศษที่แตกต่างไปจากฤดูกาลธรรมชาติ ดังที่บ้านเราซึ่งตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร มี ๓ ฤดูกาลโดยปกติ มีสภาพภูมิอากาศร้อนชื้นแบบสะวันนาตามการแบ่งเขตภูมิอากาศแบบเคิปเปิน... ซึ่งต่างจากฤดูกาลโยกย้ายที่เป็นภูมิศาสตร์ของโลกธรรม...

แต่ก็ยังมีแวดวงข้าราชการ .. ที่ไม่ต้องดิ้นรนวิ่งเต้นให้เสียจรรยาบรรณ ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม อาทิเช่น วงการข้าราชการตุลาการ ซึ่งในปีพุทธศักราช ๒๕๖๓ นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าที่ ๑ บรรทัดที่ ๑ ข้อที่ ๑ .. เมื่อจะมีสุภาพสตรีท่านแรกขึ้นดำรงตำแหน่งประธานศาลฎีกา..

จึงมีข่าวสารเผยแพร่สะพัดในบัญชีแต่งตั้งข้าราชการตุลาการที่ระบุนาม นางเมทินี ชโลธร รองประธานศาลฎีกา... ดำรงตำแหน่ง ประธานศาลฎีกา ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นไป จึงเป็นเรื่องที่ควรยินดีด้วยเป็นอย่างยิ่ง ด้วยนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวงการตุลาการในบ้านเรา

สังคมนานาประเทศจะได้ประจักษ์แจ้งว่า ผู้หญิงไทยย่อมมีความพร้อมในความรู้ความสามารถไม่ด้อยไปกว่าบุรุษเพศในการบริหารราชการบ้านเมือง ถึงแม้จะต้องออกรบต่อสู้กับอริราชศัตรู.. ดังประวัติศาสตร์ไทยที่มีบันทึกไว้ให้ลูกหลานไทยได้ศึกษา เพื่อความภาคภูมิใจในความเป็นชาวไทย.. เป็นหญิงไทย.. จึงขออำนวยอวยพรให้ คุณเมทินี ชโลธร ได้ถึงความพร้อมไพบูลย์ในสุขภาพกาย-ใจ เพื่อจะได้ใช้โอกาสเวลาที่มีพัฒนาระบบตุลาการไทยให้ก้าวไกลไปข้างหน้ายิ่งขึ้น ๆ ... จะได้ฝากผลงานไว้ให้เป็นที่ประจักษ์ ในการสร้างสรรค์สังคมประเทศชาติในด้านงานตุลาการที่สืบเนื่องมายาวนาน เพื่อให้สมกับคำว่า ผู้หญิงไทยไม่ธรรมดา ดังคำกล่าวที่ว่า

 “เปลก็ไกวดาบก็แกว่งแข็งหรือไม่

ไม่อวดหยิ่งหญิงไทยมิใช่ชั่ว..

ไหนไถถากตรากตรำไหนทำครัว

ใช่รู้จักแต่จะยั่วผัวเมื่อไร...” ...

เมื่อกล่าวถึงคำว่า.. “ฤดูกาลโยกย้าย” .. จึงให้นึกถึงเรื่องฤดูกาลทางภูมิศาสตร์ .. โดยเฉพาะในเขตที่ตั้งของประเทศไทยที่อัศจรรย์ยิ่ง หากได้ศึกษาเรื่องพลังงานพิเศษที่ปกคลุมพื้นที่ประเทศไทย.. จึงเป็นที่มาของการได้ยินคำกล่าวอยู่บ่อยครั้งว่า.. ประเทศไทยมีพลังความศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองรักษา.. ให้รอดพ้นจากสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เข้าขั้นวิกฤตการณ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์...

แน่นอน ในความเป็นมนุษยชาติ .. สัตว์ที่เข้าสู่ความสำเร็จในชีวิตได้ ย่อมเกิดจากหนึ่งสมอง สองมือ สองเท้า.. แต่ก็ยังมีหลายบุคคลเชื่อว่า แม้จะเก่ง .. ก็ไม่เท่ากับ เฮง .. อันเป็นที่มาของคำว่า.. ดวงชะตาชีวิต .. หรือดวงชะตาแผ่นดินของประเทศชาติ ซึ่งมีอำนาจเหนือความรู้ความสามารถของคนเรา.. ดังที่เราประมวลรวมลงในคำว่า วิบากกรรมหรืออำนาจกฎแห่งกรรมตามวิถีพุทธ.. เพื่อจะได้ศึกษาอย่างเป็นไปตามวิถีธรรม ดังคำกล่าวที่ว่า.. เหนือบุญก็คือกรรม... และที่สุดที่เหนือกรรมคือปัญญา หากแปรปัญญาเข้าสู่ธรรมานุภาพ ก็จะกลายเป็นพลังงานพิเศษรูปหนึ่งที่ทรงพลังน่าอัศจรรย์ยิ่ง .. ในความเป็นเอกภาพของคุณภาพ ประสิทธิภาพ แห่งอำนาจปัญญานั้น...

ดังดวงชะตาแผ่นดิน ที่ประมวลรวมดวงชะตาชีวิตของมหาชนในชาติ ที่ส่งผลต่อองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ของความเป็นประเทศ เช่น.. กรณี แผ่นดินอันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยเรา ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งนำเสนอไว้ว่า แม้มิได้อยู่บนเส้นศูนย์สูตรตามภูมิศาสตร์ แต่ได้ปรากฏว่าได้ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตรของสนามแม่เหล็ก โดยระบุว่า บริเวณที่ตั้งของประเทศไทยมีสนามแม่เหล็กเข้มที่สุด สามารถปกป้องไม่ให้อนุภาคมีประจุผ่านลงมาได้ง่าย ๆ หรือได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เมื่อเกิดพายุสุริยะหรือรังสีคอสมิกลงมายังโลก.. โดยพื้นที่ซึ่งค้นพบตามหลักวิทยาศาสตร์ว่ามีความเข้มของสนามแม่เหล็กสูงสุด ได้แก่ จังหวัดชุมพร.. ประตูสู่ภาคใต้ของประเทศไทย...

จากข้อมูลดังกล่าวจึงทำให้เรื่องในใจหลายเรื่องได้ถึงบางอ้อว่า.. ทำไมจังหวัดชุมพรที่มีครบทั้งทะเลและขุนเขา จึงอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุ .. ทรัพยากรนานาชนิด จนถึงแร่ธาตุพิเศษที่ชาวบ้านเรียกว่า เหล็กกายสิทธิ์.. หรือเหล็กไหลวิเศษ...

มาถึงตรงนี้ หลายๆ คนคงเริ่มชักจะขึงจิต ต่อต้านด้วยเคยรับฟังมาแต่ในเรื่องเหล็กเหลวไหล .. อันเกิดจากการตรัสรู้ในเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ในจิตเหลวแหลกของบรรดาพวกทุศีล .. ติรัจฉานวิชาทั้งหลาย จนหลายคนมีทัศนคติในเรื่องแร่ธาตุที่ชื่อ เหล็กไหลกายสิทธิ์ เป็นลบ...

จึงใคร่ขอบิณฑบาตความรู้สึกดังกล่าว.. หากต้องการศึกษาธรรม .. ในธรรมชาติ.. อย่างมีสาระ โดยควรยึดถือในคติธรรมว่า โลกนี้มีทั้งความเป็นโลกธาตุและโลกธรรม นั่นหมายถึง ความเป็นรูปธรรมกับนามธรรม .. ซึ่งต้องอยู่คู่กัน อันเป็นไปตามกฎธรรมชาติที่สะท้อนความเป็นอนัตตา... ดังที่พระกล่าวสรุปไว้ว่า... ธรรมทั้งหลายมีมาแต่เหตุ .. เมื่อเหตุสิ้นไป ธรรมเหล่านั้นย่อมสิ้นไป.. นี่เป็นธรรมดา

ดังนั้น เมื่อต้องการจะรู้ให้แจ้งในโลก ก็ต้องเพิ่มพูนพลังงานธาตุรู้ให้มีศักยภาพถึงพร้อมที่จะรอบรู้ รู้โดยรอบ .. จนก่อเกิดยถาภูตญาณ.. เพื่อการบรรลุถึงญาณทัสสนวิสุทธิ จะได้เข้าใจเปลือกโลก .. มวลสารต่าง ๆ ที่หลอมรวมลงในความเป็นโลกธาตุ.. และพลังงานที่ยึดโยงจนเกิดการรวมตัวก่อเกิดพลังดึง.. พลังดัน.. ให้เกิดการหมุนวนรอบแกน .. ที่เกิดจากการจับรวมศูนย์โดยธรรมชาติของพลังงานที่เกิดจากนานาธาตุวัตถุเหล่านั้น จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ต่าง ๆ มากมายในโลกธาตุใบนี้ ที่แสดงความเป็นโลกธรรมให้ชาวโลกศึกษากันไม่จบสิ้นตราบที่ไม่เข้าใจหลักธรรม .. ในพุทธศาสนา

วันนี้จึงขอเขียนนานาสาระแบบสบาย ๆ ด้วยความยินดีที่มารดาธาตุ .. ได้เข้าสู่ตำแหน่งหน้าที่สูงสุดในแวดวงตุลาการ... เป็นประธานศาลฎีกา .. อันเป็นฐานะประมุขสูงสุดของฝ่ายตุลาการ !!

เจริญพร