“วีไอพี” สับขาหลอก

“วีไอพี” สับขาหลอก

การเป็น “วีไอพี” เป็นเรื่องที่แทรกซึมอยู่ในทุกวงการ การเป็นวีไอพี เหมือนคนเปราะบาง ง่อยเปลี้ยเสียขา บางทีเดินเหินเองไม่ได้

ต้องมีรถบริการรับส่งถึงที่ ต้องมีคนคอยอารักขาเรียกท่านคะท่านขา หรือแม้แต่จะกินจะนอนต้องดูแลเป็นพิเศษ ดูๆ ไปเหมือนคนไข้ติดเตียง แต่คนก็อยากได้ชื่อว่าเป็น “วีไอพี” เพราะบนความเปราะบางมันมากับสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆ ไปสนามบินมีช่องทางพิเศษสำหรับวีไอพี มีเลานจ์รอขึ้นเครื่องวีไอพี มีกระทั่งรถตู้พาขึ้นเครื่องสำหรับวีไอพี

ไปลองศึกษาดูพบว่า ต้นกำเนิดคำว่า วีไอพี เพิ่งใช้กันอย่างกว้างขวางภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ผ่านมานี้เอง เหตุผลประการหนึ่งเป็นเรื่อง “ทางธุรกิจ” สืบเนื่องมาจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าหัวใส พยายามเพิ่มมูลค่าเพิ่มในธุรกิจของตนเอง เห็นคนบางจำพวก เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง คนมีอำนาจอิทธิพล คนมีชื่อเสียง (และต้องมีทรัพย์มากด้วย) น่าจะดูดเอาเงินเพิ่มจากการให้บริการตามปกติ จึงมีการตั้งกฎเกณณฑ์ ให้การได้รับสิทธิพิเศษ เป็นเรื่องของการซื้อขายกันได้ จึงเกิดการแพร่กระจายระบาดออกไปทั่วโลกเหมือน “ภัยโควิด-19” ที่กำลังเหมือนจะกลายเป็นปัญหาที่ดูแล้วทำให้รัฐบาลกุมขมับมากกว่าตัวโรค เพราะปัญหาอันเนื่องด้วยคำว่า “วีไอพี” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

อันทำให้เกิดการตื่นตระหนกตกใจทั้งภาคประชาชน และส่งผลไปถึงภาครัฐที่ต้องหันมาทบทวนมาตรการในสภาวะปกติที่ไม่ปกติเหมือนเก่า บางคนเรียกเป็น นิวนอร์มอล แต่ผมเรียกง่ายๆ แบบไม่ต้องคิดค้นคำให้พิสดารเกินจำเป็นว่า “เป็นวิถีชีวิตใหม่” ใช้คำนี้ได้เลยไม่ต้องไปกลับหัวกลับท้ายเป็น ชีวิตวิถีใหม่ หรือ แนวทางชีวิตใหม่ อะไรให้ยุ่งยากใจ เรื่องที่เกิดขึ้นกระทบต่อปัญหาความสัมพันธ์ทางการทูตของไทยกับอีกหลายประเทศ เข้าตำราเหมือนเพลงที่ร้องทำนองว่า “เพราะเธอคนเดียว เดือดร้อนกันทั้งอำเภอ”

ผมจำได้เมื่อสักราวๆ 20 ปีก่อน ผมเคยเขียนวิจารณ์นักการทูตของประเทศที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับประเทศทางตะวันออกกลางประเทศหนึ่งที่มีข่าวเผยแพร่ในหน้าหนังสือพิมพ์ (ถ้าเป็นทุกวันนี้คงมีคนจัดให้ถ้าอยากดัง เพราะสื่อโซเชียลเพิ่งเกิดมาเร็วๆ นี้) กรณีนักการทูตที่ดูถูกคนไทย เพราะได้บริการไม่ทันใจไม่สมกับวีไอพี น่าจะมีการด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรงและต่อมาก็โบ้ยมาเรื่อง “ปัญหาข้อผิดพลาดในการสื่อสาร” ซึ่งเป็นภาษาทางการทูตเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นที่ระยองและอีกหลายแห่งในกรุงเทพจากกรณีคนต่างชาติเอาความเดือดร้อนมาแพร่สู่สังคมไทย

เหมือนอีกอย่างคือ การที่มักดูถูกพวกเราทำนองว่า สื่อสารภาษาอังกฤษไม่สันทัดบ้าง หรือ วัฒนธรรมต่างกันบ้าง เพื่อเอาตัวรอด ทั้งที่ 2 เรื่องที่ว่าอาจไม่เกี่ยวกับการ “เหยียดเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ (racism)” ที่ไม่ว่าจะเป็นใครบางคนที่เป็นแขกดำ แขกขาว ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งตาน้ำข้าว ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยเพี้ยนหรือหลงยุคยังเหยียดคนนั้นคนนี้ แต่ในท่ามกลางคนหมู่มากย่อมมี “แกะดำ” แฝงอยู่ ต้องถือเป็นโชคร้ายของคนที่ไปประสบพบเจอ เพราะคนพวกนี้ส่วนหนึ่งมาจากการศึกษาที่ล้าหลัง (คือไม่ปรับเปลี่ยนให้ทันยุคสมัย) ยังใช้ตำราดั้งเดิม หรือ สอนกันมาแบบคนที่มีอคติต่อคนเชื้อชาติอื่น เลยติดพันมาด้วยเหมือนโรคติดต่อ

ผมจำได้ว่าสมัยเรียนปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ เคยคิดอยู่เหมือนกันว่า อยากไปสอนภาษาไทยให้ทั้งนักการทูต หรือนักธุรกิจหรือใครก็ตามที่คิดจะมาอยู่เมืองไทยนานๆ หรืออาจเพียงอยากรู้ภาษาไทยให้แตกฉาน เพราะรายได้เท่าที่ทราบจากเพื่อนที่ไปสอนในเวลาเมื่อสัก 20 ปีก่อน ราวๆ ชั่วโมงละ 25 ปอนด์ (เวลานั้นเฉลี่ยที่ 80 ต่อปอนด์) เห็นเม็ดเงินแล้วตาโต แต่เพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า คนที่เรียนก็เรียนจริงแบบตั้งใจมาก อยากได้ความรู้แบบท่วมท้น ไม่ต้องการรู้ศัพท์ทางการ พวกนี้ต้องการรู้ทุกอย่างแม้กระทั่งคำที่จิ๊กโก๋ จิ๊กกี๋ พูดกันในผับในบาร์ตามถนนรนแคม ที่สำคัญคือ คนต่างชาติเองพวกนี้เขารู้เท่าทันพวกเรา เราหลอกเขายาก

ที่ว่าหลอกยาก เพราะผมเชื่อว่า ฝรั่งทำตำราออกมาขาย แปลเป็นไทยได้ประมาณว่า สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำเมื่อคุณไปเมืองไทย หรือแม้แต่เรื่องประสบการณ์การโดนหลอกซื้อของ การเที่ยวเตร่ของคนหนุ่มสาว มีทั้งแผนที่โลเคชั่น คำแนะนำคำเตือนเต็มไปหมด เมื่อมาเห็นภาพคนที่ปฎิเสธการตรวจโควิด ไม่ยอมตรวจแล้วอ้างเรื่องการสื่อสาร ทำให้นึกขึ้นมาถึงเรื่องเก่าๆ ที่คนไทยเคยถูกฝรั่งไปเขียนถึงคนมีอำนาจในบ้านเมืองของฝรั่งแห่งหนึ่ง บังเอิญผมได้เห็นการบรรยายความของนักการทูตที่ไปพบคนไทยบางคนแล้วรายงานไปถึงเจ้านายของเขาโดยบังเอิญ ความประมาณว่า คนไทยคนนี้เป็นคนชอบฝรั่งมาก (anglophile) แต่สำเนียงพูดฟังไม่รู้เรื่องเหมือนคนทั่วๆ ไป และลงรายละเอียดไปถึงเรื่องมารยาทโน่นนี่อย่างละเอียดยิบ แม้กระทั่งมีบางตำราไปเขียนกล่าวหาคนไทยทำนองว่า “ชอบคนมีอำนาจ ชอบคนมีเงิน ชอบประจบเอาใจ ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง พูดอะไรไปเขาจะตอบ yes ไม่ค่อยมีปฎิเสธใคร ฯลฯ” พวกฝรั่ง คนต่างชาติที่เข้าใจตามนี้ก็มักอาศัยวิธีการเหล่านี้มาต้มตุ๋นหรือเอาเปรียบคนไทย แม้แต่เรื่องโควิด ยังมาบอกว่า “คุยกันไม่รู้เรื่องอีก