เรื่องควรรู้ ก่อนเริ่มลงทุนหุ้น

เรื่องควรรู้ ก่อนเริ่มลงทุนหุ้น

จำนวนผู้เปิดบัญชีลงทุนในหุ้นไทย ในปี 62 มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่า 140,000 คน และใน 5 เดือนแรกปีนี้ เพิ่มขึ้นอีกเกือบ 150,000 คน

ชี้ให้เห็นถึงความสนใจเข้ามาลงทุนอย่างชัดเจน ซึ่งผมเองสนับสนุนให้คนไทยได้ออมเงินในตลาดหุ้นอย่างถูกวิธี โดยมีความเข้าใจอย่างถูกต้องรู้จักวิธีลดความเสี่ยง

วันนี้ ขอใช้พื้นที่คอลัมน์ให้ข้อคิดความเข้าใจ แก่ผู้ที่ยังลงทุนมาไม่นาน ดังนี้

- หุ้น เป็นทั้งโอกาส เป็นทั้งความเสี่ยงต่อฐานะการเงิน อย่าได้เชื่อว่า มีวิธีง่ายๆที่ทำให้รวยเร็วมากอย่างแน่นอนอีกด้วย เพราะถ้ามีวิธีง่ายๆและแน่ๆแบบนั้น ทุกประเทศในโลกคงไม่ต้องเคี่ยวเข็ญให้คนต้องอบรมและสอบเป็นนักวิเคราะห์ ผู้จัดการกองทุน และผู้แนะนำการลงทุน ให้เปลืองแรง เปลืองค่าจ้างหรอกครับ

- ในความเป็นจริง มีวิธีเรียนรู้ที่ยากแบบปานกลาง เเต่สามารถจะเรียนรู้ ฝึกฝนได้ ในหลักวิธีการลงทุน การคัดเลือกหุ้น คุมความเสี่ยง ทำให้มีโอกาสที่จะรวยได้โดยใช้เวลาบ้างทั้งนี้ ผมแนะนำให้เรียนรู้กับบล. ที่เปิดบัญชีอยู่ หรือกับองค์กรและตัววิทยากรที่น่าเชื่อถือ เช่น ตลาดหลักทรัพย์ฯ และสมาคมที่ได้รับการยอมรับจากสำนักงานก.ล.ต. เป็นต้น มีทั้งบทความ วิดีโอ ในเว็บและใน Facebook

- ถ้าได้รับการเชิญชวนไปเรียนแพงๆจากใครที่อ้างความเป็นโคตรเซียน ที่จะสอนให้เรา รวยเร็วมาก ได้แน่ๆเป็น 100%มีวิธีเช็คข้อมูลขั้นต้นว่า โคตรเซียนดังกล่าวมีประสบการณ์และความรอบรู้ที่ยืนยันได้หรือไม่ โดยการค้นประวัติว่าเคยทำงานด้านไหนมาก่อน ถ้าไม่ตรงสายให้สงสัยไว้ก่อนครับ ถ้าเก่งขนาดนั้นจริง ทำไมบล.หรือบลจ.ถึงไม่ดึงตัวไปเป็นหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ หรือเป็นผู้จัดการกองทุน

- เข้าดู ข้อมูล ของสำนักงานก.ล.ต. ตาม Linkนี้https://www.sec.or.th/th/pages/marketdata/marketprofessionals.aspxหรือใช้ google แล้วค้นหาด้วยประโยค“กลต. บุคคลที่ได้รับใบอนุญาต” ก็จะเข้าสู่หน้าที่ให้พิมพ์ชื่อของผู้ที่ชวนเราไปจ่ายค่าเคล็ดวิชา ก็จะทราบว่า เคยผ่านการเรียน การสอบเป็น นักวิเคราะห์ หรือ ผู้แนะนำการลงทุนอะไรมาบ้างไหม

- ตลาดหุ้นไทย พัฒนามา 45ปี แต่ยังมีความผันผวนอยู่ค่อนข้างมาก จำนวนปีที่ตลาดหุ้นขึ้นกับปีที่ลง อยู่ในอัตราส่วน 3 ต่อ 2 ดังนั้น การลงทุนปีเดียว อาจยังไม่เห็นผลบวกก็เป็นได้

- ราคาหุ้นระยะสั้น ขึ้นกับปัจจัยสารพัดชนิด ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ และจิตใจของผู้ลงทุน แต่ในระยะยาว ราคาหุ้นมักเป็นไปตามขนาดของผลกำไรบริษัท ซึ่งก็สัมพันธ์กับการเพิ่มขึ้นของGDP นั่นเอง

- ค่าเฉลี่ยระยะยาวของตลาดหุ้นไทยโดยรวม ให้ผลกำไรรวมเงินปันผลประมาณ 10% แต่ในช่วง 10ปีหลังที่เศรษฐกิจโตต่ำลง และบริษัทในตลาดหุ้นมีการเติบโตของกำไรน้อยลง ค่าเฉลี่ยผลตอบแทนเหลือประมาณ 7 % ต่อปี โดยที่ครึ่งนึงเป็นเงินปันผล

- การซื้อหุ้นที่ดี หลายบริษัทกระจายหลายธุรกิจจะทำให้ได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของตลาด ส่วนการซื้อเน้นๆ 1-2 บริษัท จะเปิดขอบเขตการได้กำไรและการขาดทุนมากขึ้น

- ข้อมูลที่ดี และสะดวกใช้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย อยู่ใน www.settrade.comโดยมีตัวเลขที่สำคัญทางการเงิน เพื่อให้ดูแนวโน้มและความสามารถทำกำไรทางธุรกิจ อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน เป็นต้น และมีบทสรุปย่อเกี่ยวกับกิจการของบริษัท ที่ใช้ชื่อรายงานว่า Factsheet

- การซื้อหุ้น เป็นการซื้ออนาคตของบริษัทนั้น ดังนั้น ข้อมูลสำคัญที่สุด คือการวิเคราะห์อนาคตทางธุรกิจของบริษัทนั้นๆ ผู้ลงทุนควรดู IAA Consensus ที่สมาคมนักวิเคราะห์ฯ นำข้อมูลการวิเคราะห์ทางธุรกิจของหุ้นประมาณ 280 บริษัท รวมถึงประเมินมูลค่าหุ้น มาให้ดูในsettrade.comโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เราสามารถเลือกหุ้นดีหุ้นเด็ดได้สดวกจากช่องทางนี้

- การคาดการณ์ต่างๆนั้น มีโอกาสถูก และผิดได้ในรายครั้ง ดังนั้น ต้องไม่มั่นใจเกินสถิติความเป็นจริง ไม่ทุ่มซื้อหุ้นครั้งเดียว หุ้นบริษัทเดียว แต่ควรกระจายไปหลายธุรกิจ และกระจายจังหวะเวลาโดยวิธีการที่เรียกว่า DCA ซึ่งเป็นการซื้อทยอยเป็นรายเดือนหรือรายเวลาอื่นๆ

- การวิเคราะห์กราฟราคาทางเทคนิค เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนับสนุนหาจังหวะเข้าออกที่มีประโยชน์แต่ไม่ควรเป็นเครื่องมือหลักเพียงเครื่องมือเดียว เนื่องจากมีข้อจำกัดและจุดอ่อนอยู่บางประการ และสัญญานซื้อขายอาจเปลี่ยนข้างพลิกผันได้อย่างรวดเร็ว จนผู้ลงทุนใหม่ๆไม่อาจตามทันได้ แนะนำให้ใช้ปัจจัยพื้นฐานทางธุรกิจเป็นหลัก แล้วใช้การวิเคราะห์กราฟเป็นเครื่องมือสนับสนุน

 

ท้ายนี้ ขอฝากประชาสัมพันธ์หลักสูตรออนไลน์ (นับชม.ได้ 3 ชม.) การลงทุนในผลิตภัณฑ์ตลาดทุนที่เป็นสกุลเงินต่างประเทศ) ในวันอาทิตย์ที่ 19 ก.ค. 2563 เวลา 09.30 – 12.30 น. ราคา 1,700 บาท Net. สอบถามข้อมูลโทร. 02-009-9292 ต่อ 3716, 3717