การตัดสินใจที่ผิดพลาดมักก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จนยากต่อการจัดการ
พัฒนาการทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของโลกในรอบ 50 ปีที่ผ่านมาเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดด้วยปัจจัยเหตุสำคัญ 5 ประการได้แก่ การเติบโตของประชากรอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดการพัฒนาเมืองเศรษฐกิจและสังคมตามมา
ปัจจัยสำคัญลำดับต่อมาคือ การจัดการทรัพยากรเพื่อสร้างอาหารหล่อเลี้ยงประชากรทั่วโลก และการจัดการแหล่งพลังงานต่างๆ เพื่อรองรับการเติบโตของโลก และสุดท้ายคือภาวะโลกร้อนที่เป็นผลกระทบอันเกิดจากพัฒนาการของมนุษยชาติที่เราหลีกหนีไม่พ้น
ปัจจัยทั้ง 5 ประการเป็นสิ่งที่มนุษย์คุ้นเคยมานานจนทำให้เราวางแผนรับมืออันได้ไม่ยากนัก เพราะองค์ประกอบแต่ละตัวสร้างผลกระทบที่สามารถพยากรณ์ได้ เช่น หากลดจำนวนอาหารที่แต่ละประเทศผลิตลงจะเกิดผลกระทบอย่างไร ลดการผลิตน้ำมันลงจะทำให้การผลิตเกิดปัญหามากแค่ไหน
แต่การคำนวณที่ได้มาจะไม่มีความสำคัญใดๆ หากเราไม่วางแผนเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้อย่างทันท่วงที โดยเฉพาะบางปัจจัยที่มนุษย์ละเลยมานานอย่างเช่นภาวะโลกร้อนที่ผลของมันเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้สภาพอากาศของเราผันผวนรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกปี
ที่น่ากลัวก็คือจากตัวแปรต่างๆ เหล่านี้อาจทำให้โลกเราต้องเข้าสู่จุดจบทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมในอีก 30 ปีข้างหน้า หากเราไม่ลงมือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอย่างจริงจัง ซึ่งเราจะเห็นได้จากข่าวคราวด้านสิ่งแวดล้อมเช่นน้ำแข็งขั้วโลกละลาย ทำให้น้ำทะเลสูงขึ้นจนก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมในหลายๆ ประเทศ ในขณะที่บางพื้นที่ของโลกก็ต้องประสบกับภัยแล้งเป็นประจำทุกปี
เมื่อธรรมชาติผิดเพี้ยนไปเพราะพฤติกรรมของมนุษย์โลก ผลที่เกิดขึ้นตามมาก็คือการอพยพของสรรพสัตว์ที่เข้ามาใกล้ชีวิตมนุษย์มากขึ้น เชื้อโรคทั้งแบคทีเรียและไวรัสที่เคยติดต่อกันระหว่างสัตว์ ก็เริ่มแพร่สู่มนุษย์มากขึ้นเรื่อย ๆ
เช่นเดียวกับภาวะโลกร้อนที่ทำให้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกละลายในอัตราสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยน้ำแข็งขั้วโลกนั้นเปรียบเสมือนตู้เซฟแห่งกาลเวลาที่สะสมสิ่งมีชีวิตในยุคโบราณเอาไว้ด้วยการแช่แข็งอยู่ในชั้นความลึกต่างๆ ตามเวลานับล้านๆ ปีที่ผ่านมา
เมื่อน้ำแข็งละลายได้เร็วกว่าที่ควรจะเป็นก็ย่อมทำให้ชั้นน้ำแข็งที่มีสิ่งมีชีวิตต่างๆ สะสมอยู่รวมทั้งแบคทีเรียและไวรัสที่อาจก่อให้เกิดโรคในมนุษย์ได้หลุดสู่ธรรมชาติ อาจก่อให้เกิดโรคอุบัติใหม่เกิดขึ้นกับมนุษย์ไม่ต่างอะไรกับโควิด-19 และอาจส่งผลรุนแรงยิ่งกว่า
ทั้งหมดนี้มนุษย์ก็คงโทษใครไม่ได้ เพราะนี่คือผลที่เกิดขึ้นจากการเผาผลาญทรัพยากรธรรมชาติโดยปราศจากการยั้งคิด เราใช้ทรัพยากรป่าไม้โดยไม่คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมา เราใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่คิดว่าคนรุ่นลูก รุ่นหลาน จะเอาพลังงานจากที่ไหนมาใช้
เราจึงไม่อาจวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันได้เลย ดูได้จากกรณีการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เราเห็นแล้วว่าเราไม่สามารถรับมือมันได้ และการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้นำบางประเทศก็มักก่อให้เกิดผลกระทบต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จนยากต่อการจัดการ
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดคือสหรัฐอเมริกา ที่แม้จะเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกและมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงที่สุด มีความพร้อมทางด้านการแพทย์และการสาธารณสุขมากที่สุด แต่กลับกลายเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 สูงที่สุดในโลก
เพราะประเด็นทางการเมืองที่ผู้นำประเทศนำมาใช้โดยไม่คิดถึงผลที่จะเกิดขึ้นตามมา รวมถึงความไม่ตระหนักในปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ก่อให้เกิดผลกระทบที่ขยายเป็นวงกว้างและเกินความควบคุมในหลายๆ มลรัฐที่เกิดความวุ่นวายขึ้น กลายเป็นปัญหาซ้อนปัญหา
บ้านเราอาจจะโชคดีที่สามารถบริหารจัดการได้อย่างเด็ดขาดและรวดเร็วเพียงพอ แต่อย่าลืมที่จะเรียนรู้จากประเทศอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อนำมาเป็นกรณีศึกษาและมองเห็นความน่าจะเป็นต่อไปในอนาคต