อวิชชากับมิจฉาเจตนากำลังเข่นฆ่าชาวอเมริกัน

อวิชชากับมิจฉาเจตนากำลังเข่นฆ่าชาวอเมริกัน

เราทราบดีแล้วว่า หลังไวรัสโควิด-19 ระบาดไปถึงสหรัฐไม่นาน ชาวอเมริกันนำโด่งทั้งในด้านการป่วยและด้านการตายจากไวรัสนี้

สหรัฐมีประชากรเพียง 5% ของประชากรโลก แต่ชาวอเมริกันป่วยและตายด้วยไวรัสโควิด-19 ถึงราว 25% ของชาวโลกที่ป่วยและตายด้วยเหตุเดียวกัน ข้อมูลนี้ก่อให้เกิดความประหลาดใจมากเนื่องจากภาพที่สหรัฐมักฉายออกมาได้แก่ เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าสูงและเศรษฐกิจอันแข็งแกร่ง เหตุปัจจัยที่ทำให้ชาวอเมริกันป่วยและตายกันมากเช่นนั้นเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางแต่ยังไม่มีข้อสรุป

เนื่องจากโควิด-19 เป็นไวรัสใหม่ เราอาจมองปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งได้แก่การที่เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันมาก่อน หรือ อวิชชา หลังเวลาผ่านไปกว่าครึ่งปีจากวันที่มันเริ่มระบาดในเมืองจีน นักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจมันมากนัก จึงยังไม่สามารถป้องกัน หรือกำจัดมันให้หมดได้ไม่ว่าก่อนหรือหลังมันเข้าไปสร้างความเจ็บป่วยในตัวคน นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกันตกที่นั่งเดียวกันกับนักวิทยาศาสตร์ทัวโลก แม้เทคโนโลยีและการวิจัยในสหรัฐจะก้าวหน้าไม่น้อยกว่าในส่วนอื่นของโลกก็ตาม

อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ ฝ่ายวิทยาศาสตร์และการแพทย์รวมทั้งในสหรัฐแน่ใจแล้วว่า เราสามารถลดการแพร่ขยายของไวรัสตัวนี้ได้มากหากเราใช้มาตรการเหล่านี้คือ สวมหน้ากากปิกจมูกและปากเมื่อออกไปนอกบ้าน อยู่ห่างกันไม่ต่ำกว่า 1 วา ล้างมือบ่อยๆ และเว้นจากการแตะหน้าตัวเอง แม้มาตรการเหล่านี้จะง่าย แต่ในสหรัฐมีปัญหามากเนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เป็นผู้นำที่ไม่ยอมฟังผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ ถึงขนาดแม้แต่หน้ากากก็ไม่ยอมสวมใส่เมื่อไปปรากฏตัวในสถานที่ซึ่งมีผู้คนห้อมล้อม หรือหนาแน่น

เมื่อผู้นำสูงสุดของประเทศซึ่งมีผู้ศรัทธาจำนวนมากเลือกเข้ามาดำรงตำแหน่งใหญ่ไม่ทำ ผู้ตามย่อมไม่ทำด้วย ซ้ำร้าย นายทรัมป์ยังกระทำในแนวตรงข้ามเสียอีก นั่นคือ ผลักดันให้กิจการและร้านค้าเปิดทำงานเพื่อหวังจะให้เศรษฐกิจลดความถดถอย และสนับสนุนให้พรรคการเมืองของตนจัดการชุมนุมทางการเมืองขนาดใหญ่แบบท้าทายไวรัส

ปัจจัยที่ผลักดันให้นายทรัมป์กระทำตามทัศนคติเช่นนั้น เป็นประเด็นใหญ่ที่คาดเดากันไปต่างๆ นานา ถึงกับบางคนมองว่าเขาเป็นโรคจิต หรือบ้ามานานแล้ว เนื่องจากโอกาสที่จะมีใครเข้าไปพิสูจน์เรื่องนี้อย่างจริงจังย่อมไม่มี สิ่งที่พอทำได้จึงจำกัดอยู่ที่การติดตามความเห็นของผู้เคยอยู่ใกล้ชิด หรือทำงานร่วมกับเขา ในกรณีนี้ มีหลายคนที่แสดงความเห็นออกมาตามสื่อต่างๆ รวมทั้งอดีตรัฐมนตรี หัวหน้าเจ้าพนักงานรัฐบาลซึ่งเทียบเท่ากับนายกรัฐมนตรีของบางประเทศและที่ปรึกษาระดับสูง ล่าสุดได้แก่หนังสือของอดีตที่ปรึกษาด้านความมั่นคงชื่อ John Bolton เรื่อง The Room Where It Happened ซึ่งเพิ่งวางตลาดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

หนึ่งในบทสรุปหลักในหนังสือเล่มนี้ได้แก่ ไม่ว่านายทรัมป์จะทำอะไร เป้าหมายของเขามีเพียงอย่างเดียว นั่นคือ เพิ่มโอกาสชนะการเลือกตั้งครั้งต่อไป การกระทำของนายทรัมป์ตามแนวนี้มีที่มาจากแนวคิดเก่าแก่ซึ่งอาจแปลได้ว่า “ใครจะเป็นอะไรช่างหัวมัน ขอให้ฉันบรรลุเป้าหมาย” (The end justifies the means.) ตามแนวคิดนี้ ความตายจำนวนมากของชาวอเมริกันจึงไม่มีความสำคัญต่อนายทรัมป์แม้แต่น้อย

เนื่องจากนายทรัมป์ทำอะไรๆ ไปตามเจตนาเพื่อให้ถึงเป้าหมายเพื่อตนเองเพียงหนึ่งเดียว จึงมีคำถามตามมาว่า ชาวอเมริกันมองไม่เห็นหรือ?

ส่วนหนึ่งมองเห็น แต่จำนวนมากคล้อยตามนายทรัมป์ไม่ว่าเขาจะแนะนำให้ทำอะไร หรือเชื่อเขาทุกอย่างแม้กระทั่งเมื่อเขาโกหกเป็นที่ประจักษ์ ชาวอเมริกันกลุ่มนี้มักเป็นชนผิวขาว หลงศาสนา มีการศึกษาต่ำกว่าชาวอเมริกันโดยทั่วไป อาศัยอยู่ในชนบท หรือไม่ค่อยมีโอกาสเห็นโลกภายนอก พวกเขาจึงมีอวิชชาสูงกว่าชาวอเมริกันโดยทั่วไปและเป็นฐานเสียงให้นายทรัมป์ ซึ่งเขาพยายามสื่อสารถึงอย่างต่อเนื่อง

เรื่องราวที่เล่ามานี้ชี้บ่งว่า อวิชชาและเจตนาร้ายซึ่งรวมตัวกันขึ้นเมื่อใดมักก่อให้เกิดความหายนะร่วมกันเป็นปัจจัยทำให้ชาวอเมริกันจำนวนล้านป่วยด้วยไวรัสโควิด-19 และตายจากการป่วยนั้นสูงกว่าประชาชนของประเทศอื่น