กลุ่ม Mega Trend ยังเป็นโอกาส ไปต่อได้หลัง ปลดล็อก

กลุ่ม Mega Trend ยังเป็นโอกาส ไปต่อได้หลัง ปลดล็อก

เปิดเดือน ก.ค. ขอเริ่มที่ข่าวดีก่อน ประเทศไทยปราศจากผู้ติดเชื้อในประเทศ ต่อเนื่องเกือบ 40 วัน

กอรปกับมาตรการปลดล็อก เฟส 5 วันที่ 1 ก.ค.นี้ ทุกอย่างเปิดได้เกือบปกติ ยกเว้น เปิดน่านฟ้า และการเดินทางระหว่างประเทศ ที่ยังจำกัดอยู่ตามความจำเป็น ความกังวลในตลาดยังคงเป็นเรื่องของ Second wave ของ COVID-19 ซึ่งทำให้รัฐบาลไทยยังคงขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร ตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 ออกไปอีก 1 เดือน จนถึงสิ้นเดือน ก.ค.2563 ด้านเศรษฐกิจของประเทศก็คงต้องทำใจเย็นไว้ก่อน และยอมรับว่าไม่ดีแน่ ตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจ GDP มีแนวว่าจะติดลบ 6-7% การส่งออก การท่องเที่ยว ไม่ดีแน่นอน ในขณะที่ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ในไตรมาส 2 ก็น่าจะยังไม่ดีนัก และมีประกาศหลายอย่างจาก ธนาคารแห่งประเทศไทยที่ต้องการจะให้ธนาคารพาณิชย์ คงสภาพคล่องในระดับสูง เผื่อๆ ไว้สำหรับรับมือกับครึ่งหลังของปี

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศยังคงมีทั้งปัจจัยบวกและลบคละเคล้ากันไปผมยกตัวอย่างประเทศจีน หลังจากปลดล็อก การบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่การฟื้นตัวก็ยังห่างไกลจากปีที่ผ่านมา สหรัฐอเมริกาปลดล็อก ช่วงแรก ภาพรวมดูดีขึ้นแต่สถานการณ์ COVID-19 กลับแย่ลงจนทำให้หลายรัฐ ต้องกลับมา ล็อกดาวน์อีกครั้ง

ผมไล่เรียงสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้น เพื่อพิจารณาภาพรวมจากสถานการณ์ COVID-19 และ ภาพเศรษฐกิจ ของประเทศไทย ในมุมมองของผมบางประเด็นของไทยเรายังดูดีกว่าต่างประเทศในเชิงเปรียบเทียบ อย่างน้อยทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงธนาคารกลางหลายๆ แห่งอัดฉีดเงินเข้าระบบ ซึ่งส่งผลเชิงบวกให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับตัวกลับขึ้นมาซื้อขายได้ในกรอบ 1,330-1,400 จุด อีกครั้ง และสภาวะการตื่นตระหนกต่อสถานะเครดิตของตราสารหนี้ภาคเอกชน ก็เริ่มคลายตัวลง ดูรวมๆ เหมือนคลื่นลูกใหญ่ผ่านพ้นไปแล้ว

ทั้งนี้ ในฐานะแง่มุมของคนไทยคนหนึ่ง ผมยืนยันครับ สถานการณ์แบบนี้ก็ยังประมาทไม่ได้ครับ เพราะเหตุผลดังต่อไปนี้ เรื่องแรกยารักษา และวัคซีนป้องกัน COVID-19 ยังไม่มี คาดว่าอย่างเร็วคือ ปีหน้า เรื่องที่ 2 Second wave หรือการติดเชื้อ รอบ 2 เริ่ม เกิดขึ้นในหลายประเทศ และทำให้ต้อง ล็อกดาวน์ ใหม่ในหลายพื้นที่ เรื่องที่ 3 ผลกระทบที่เกิดจากการ ล็อกดาวน์และการบริโภคที่ลดลง จะก่อให้เกิดปัญหาต่อธุรกิจขนาดกลางและเล็กซึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหาต่อระบบสถาบันการเงินได้ เรื่องที่ 4 ประเด็น เรื่องสงครามการค้าระหว่างจีน กับ สหรัฐ ยังคงอยู่ และยังมีการขยายตัวไปยัง ยุโรป สรุปว่ายังมีเรื่องที่ต้องกังวลอีกมาก

ดังนั้น ในมุมการลงทุน ผมยังคงคำแนะนำการลงทุนแบบเดิม คือ เงินเล็กเน้นลงทุนใน RMF หรือ SSF ประหยัดภาษี ชอบกองประเภทไหนกระจายสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะกับรูปแบบการลงทุนของท่าน แต่ส่วนตัวผมเน้นกองหุ้นจะไทย และบางส่วนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ เพราะผลตอบแทนจากตราสารหนี้ต่ำมาก สำหรับเงินใหญ่ ผมว่าต้องเน้นกระจายการลงทุน ใครไม่มีหุ้นผมแนะนำจัดสรรให้อยู่ในพอร์ตบ้างนะครับ แต่สัดส่วนลงทุนในตราสารหนี้ก็ควรมีไว้เช่นกัน ลักษณะการจัดพอร์ตยังคงเป็นแนว Conservative คือ หุ้น 20% ตราสารหนี้ระยะสั้น 65% น้ำมันกับทอง 15% ครับ แต่จุดสำคัญในกลุ่มหุ้นที่มีความโดดเด่นในช่วงนี้ คือ กลุ่ม New Normal และ Mega Trend หรือ กลุ่มแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของโลกก็ได้ ส่วนใหญ่หุ้นเด่นเหล่านี้จะอยู่ในตลาดต่างประเทศ อาทิ Online Retail, Internet Service, Social Networking Website เป็น โดยท่านสามารถแบ่งมาจากตราสารหนี้ระยะสั้น ประมาณ 15% ทั้งนี้ ก่อนพิจารณาลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศ ผมเน้นเสมอนะครับว่า ท่านควรพิจารณาความเสี่ยงจากความผันผวนและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศควบคู่ก่อนตัดสินใจลงทุน หรือ เพื่อเพิ่มความมั่นใจศึกษานโยบายลงทุนของกองทุนหุ้นต่างประเทศเหล่านี้อย่างละเอียดนะครับ เพราะมีโอกาสผันผวนเช่นกัน ดังนั้น ผมแนะนำให้ถือลงทุนระยะยาวไว้ก่อน