เปลี่ยนการรับเงินลูกค้าครั้งเดียวเป็นการสมัครแบบสมาชิก
ที่ผ่านมามีการพูดถึงเรื่องของสงครามเทคโนโลยีและ Digital currency ของตะวันตกตะวันออกหรืออเมริกากับจีน เห็นได้ชัดว่าการแข่งขันค่อนข้างรุนแรงมาก ผมจึงไปลองดูว่ามีธุรกิจอะไรบ้างที่ได้ผลประโยชน์จากการแข่งขันของจีนกับสหรัฐ และผู้ประกอบการไทยควรรับมืออย่างไรบ้าง
1. Digital Payment ในฝั่งของอเมริกาคือพวก Visa, MasterCard อะไรก็ตามที่เป็นพวก e-Payment นั้นกำลังโต เพราะจีนเริ่มสร้าง currency หรือค่าเงินที่เป็นดิจิทัลของตัวเอง นั่นคือ หยวนดิจิตอล (Digital Yuan) ดังนั้นสำหรับฝั่งโลกตะวันออกดิจิทัลก็ต้องทำงานกับดิจิทัล ตอนนี้บริษัทที่ทำงานเกี่ยวกับดิจิทัลจึงได้เปรียบหรือได้ประโยชน์มากขึ้น เช่น MasterCard, Visa, PayPal ฯลฯ บริษัทเหล่านี้หุ้นกำลังเติบโตมากเลยทีเดียว
2. Chip หรือบริษัทที่ทำด้านชิป เมื่อทุกอย่างกำลัง shift หรือกำลังกระโดดเข้าไปอยู่ในดิจิทัล กลุ่มบริษัเหล่านี้กำลังได้ประโยชน์มาก เช่น AMD, Intel, NVIDIA หรือ Qualcomm ที่ใช้กันในโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เหล่านี้มีความจำเป็นมากอยู่แล้ว
3. SaaS (Software as a service) เป็นธุรกิจที่ให้บริการซอฟต์แวร์ออนไลน์กำลังมีแนวโน้มที่ดีมาก และมีความน่าสนใจที่ผมอยากพูดถึง
ตัวอย่างบริการซอฟต์แวร์ที่เราคุ้นเคยกันอยู่และโด่งดังมากในตอนนี้ก็คือ Zoom เป็นแอปที่ใช้ประชุม, Google เองก็มีซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ให้ใช้, Microsoft ที่ตอนนี้เริ่มเป็นบริการออนไลน์ และ Salesforce ซอฟต์แวร์เกี่ยวกับเรื่องงานขาย ตัวอย่างเคสที่คลาสสิกมากคือ Adobe เมื่อก่อนเราต้องซื้อในราคาครั้งหนึ่งราว 30,000-60000 บาท แต่ความที่มีราคาแพงมากจึงโดนละเมิดได้ง่าย ตอนหลังจึงเปลี่ยนโมเดลจากแบบเป็น license หรือ package มาเป็นการจ่ายรายเดือนหรือเป็น subscription คนก็เริ่มหันมาใช้มากกว่าเพราะราคาถูกกว่าแค่ 300-400 บาทต่อเดือนเท่านั้น
จะเห็นว่าเมื่อราคาถูกลงคนซื้อได้ไม่ยาก คนใช้เข้าสู่บริการได้ง่ายขึ้นฐานลูกค้าโตขึ้น ทำให้รายได้ของ Adobe โตทะลุประวัติศาสตร์ในทุกไตรมาส ฉะนั้น ธุรกิจแบบ SaaS จึงเป็นโมเดลที่นักลงทุนชอบมาก เรียกโมเดลแบบนี้ว่า Recurring revenue คือจะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ตัวอย่างง่าย ๆ คือ netflix ยิ่งมีลูกค้าสะสมเยอะเท่าไหร่รายได้ก็โตมากขึ้น โมเดลแบบนี้เหมาะมากกับธุรกิจทางด้านอินเทอร์เน็ต
จากนี้ไปผมมองว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์หลังโควิด เมื่อมีดิจิทัลเข้ามาอาจมีหลาย ๆ บริษัทได้รับผลกระทบเพราะไม่สามารถปรับตัวได้ ฉะนั้น หากคุณสามารถเปลี่ยนวิธีคิดและกล้าลองทำอะไรใหม่ ๆ แบบ Adobe เปลี่ยนจากขายเป็น package หรือจ่ายครั้งเดียว มาเป็น subscription หรือจ่ายเป็นรายเดือน และทำให้ราคาถูกลง คุณจะขายง่ายมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีโมเดลแบบ Freemium คือ จากที่ต้องซื้อเท่านั้นก็เปลี่ยนมาให้ลองใช้ก่อน ชอบแล้วค่อยจ่ายในราคาไม่แพง แต่เก็บเงินเป็นจำนวนผู้ใช้ เป็นการทำให้ถูกลงแต่เก็บถี่ขึ้น และเก็บครั้งหนึ่งเก็บทั้งโลกตรงนี้ผู้ประกอบการไทยต้องกลับมามองว่า จากที่เคยค้าขายแบบเดิม เราสามารถเปลี่ยนบิสเนสโมเดลได้หรือไม่ เอาอินเทอร์เน็ตเข้ามาช่วย ทำบริการของเราให้เข้าถึงทุกคน แล้วเก็บเงินรายเดือน เก็บทางออนไลน์และเก็บบ่อย ๆ รูปแบบนี้จะทำให้รายได้โตขึ้นอย่างมหาศาล
โมเดลที่เป็น subscription หรือ pay per use นี้นักลงทุนโดยเฉพาะในฝั่งเทคโนโลยีชอบมากเพราะรายได้จะทวีคูณไปเรื่อย ๆ ตรงข้ามกับโมเดลแบบการจ่ายทีเดียวจบ เพราะคุณต้องไปนั่งหาลูกค้าใหม่อยู่เรื่อย ๆ การหาลูกค้าใหม่ละครั้งมันมีต้นทุนในการหาสูงมาก แต่ถ้าเราล็อกลูกค้าไว้ได้ ให้ใช้บริการของเราเรื่อย ๆ และใช้แบบ Self service คือใช้เองทำเองได้ผ่านทางออนไลน์ก็จะยิ่งช่วยได้เยอะ
ผมอยากให้คุณลองเปลี่ยนวิธีคิดจากการรับเงินลูกค้าแค่ครั้งเดียวให้กลายเป็น subscription คือให้สมัครสมาชิกหรือแบบ pay per use ใช้เท่าไหร่ก็จ่ายตามนั้น revenue model ก็จะเปลี่ยน รายได้จะเปลี่ยน การทำให้ราคาถูกลงคนจะเข้ามาหาคุณได้ง่ายมากขึ้น