สังคมที่ขาดสติ ยากสงบสุข !!

สังคมที่ขาดสติ ยากสงบสุข !!

เจริญพรสาธุชนผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีคำกล่าวว่า “สันติภาพเกิดจากจิตใจที่มีความสงบสุข”

ซึ่งนับว่าสมเหตุสมผลไม่ขัดต่อสัจธรรม ดังสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จด้วยใจ

ถ้าเมื่อใดคนมีใจชั่ว ก็จะพูดชั่ว ทำชั่ว คนมีใจดี ก็จะพูดดี ทำดี ผลแห่งความชั่วคือบาป ผลแห่งความดีคือบุญ ก็จักติดตามเจ้าของผู้กระทำนั้นไป ดุจเหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโคที่ลากเกวียนไป หรือเหมือนเงาที่ติดตามตัวคนเราไป ฉะนั้น”

ย้อนกลับมามองดูสังคมในยุคไอที ที่มีแต่ความขัดแย้ง แก่งแย่ง เบียดเบียนทำลายกันมากกว่ายุคเก่าก่อน ทั้งนี้ก็ด้วยจิตหรือใจ ที่เป็นไปในฝ่ายบาป อกุศลเป็นส่วนใหญ่ จึงยากที่จะแสวงหา สันติภาพ ในพฤติสังคมแบบนี้ แม้ในสังคมที่อ้างว่า มีศาสนาที่ว่าด้วยสันติสุขและความสุข

เพราะศาสนา ก็คงเป็นเรื่องของศาสนา พระธรรมคำสั่งสอน มิได้ผันแปร เสื่อมสูญสิ้นสภาพไปตามกาล แต่ที่ไม่เป็นไปดังหลักการ จุดมุ่งหมายในศาสนา ก็ด้วยเพราะหมู่ชนเข้าไม่ถึงหลักธรรมของความเป็นศาสนิกในศาสนานั้นๆ ดุจคำกล่าวที่ว่า ต้นไม้มีอยู่ ดอกผลยังมีอยู่ แต่ไม่มีผู้ได้กินผลไม้นั้น จึงไม่สามารถกล่าวโทษต้นไม้นั้นได้ว่าเป็นหมัน ไร้ดอกผล ด้วยแท้จริง หมู่ชนในสังคมนั้นๆ ต่างหากที่เป็นหมัน ไม่ควรแก่การได้กินลิ้มรสชาติผลไม้นั้นได้ตามที่ควรจะเป็น

เช่นเดียวกันกับ สังคมใด ประเทศ ย่อมจักเจริญก้าวหน้าไปไม่ได้เลย หากจิตใจของหมู่ชนในสังคมประเทศนั้นเป็นหมันในคุณธรรมความดี ไม่สามารถประกอบสุจริตธรรมได้ แม้กระทั่งการคิดนึก

กล่าวกันว่า ไม่มีขีปนาวุธ ศัสตรายาพิษใดๆ ที่จะมีพลังอำนาจทำลายได้น่ากลัวไปกว่า ความคิดจากจิตที่ชั่ว ที่เกิดจากทิฏฐิวิปลาส วิบัติไปจากศีลธรรมคุณความดี ไร้ความเกรงกลัวต่อบาปกรรม จนยกระดับเข้าสู่ความเป็น นิยตมิจฉาทิฏฐิ

ดังคำพูดของคนที่มีจิตใจจมอยู่ในมิจฉาทิฏฐิที่ว่า หากกูฉิบหาย พวกมึงต้องฉิบหายไปด้วย อย่าได้อยู่กันอย่างมีความสุขเลย แม้จะลงไปในนรก กูก็จะตามไปจองเวรจองกรรมไม่สิ้นสุด ฯลฯ

จึงก่อเกิดจิตอาฆาตพยาบาท จิตวิหิงสา ที่ยากจะให้จิตนั้นเข้าถึงความสงบสุขได้ ทั้งนี้ด้วยไฟกิเลสที่เผาไหม้ให้เร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา ด้วยเพลิงไฟที่ถูกเติมเชื้อด้วยความคิดชั่วๆ ใส่ลงไปอย่างไม่รู้จักจบสิ้น จึงยากจะดับเชื้อไฟแห่งความอาฆาตพยาบาทนั้นให้สิ้นไปได้ แม้บางครั้งเจ้าเรือนนั้นอยากจะพ้นไปจากเปลวไฟพยาบาทดังกล่าวนั้น และเมื่อมีการแพร่ออกไปสู่จิตสัตว์ทั้งหลายที่ขาดสติปัญญา ด้วยอุบายวิธีต่างๆ นานาของกิเลสมาร จึงได้เห็นปรากฏการณ์แพร่กระจายขยายตัวจนกลายเป็นทะเลเพลิงแห่งความหายนะที่แผ่กว้างไปทั่ว จนยากที่จะดับให้สิ้นไปได้ด้วยกำลังความดีที่ไม่เข้มแข็ง มีศักยภาพไม่สูงพอดับได้

มิหนำซ้ำ ด้วยความพยายามที่ยังอ่อนแอ ขาดกำลังธรรม อาจจะเพิ่มเติมเชื้อเพลิงไฟบาปให้ลุกเพลิงยิ่งขึ้นได้ ด้วยการใช้กำลังอย่างขาดสติปัญญา ไม่รู้ในประโยชน์และความเหมาะควรที่แท้จริง เราจึงเห็นปรากฏการณ์การใช้คุณความดีที่เป็นโทษกันมากมาย โดยเฉพาะความดีในคนดีที่อ่อนแอ

จึงมีข้อคิดว่า การจะทำการใดๆ แม้คิดทำความดีให้กับสังคมที่มีลักษณะไม่ปกติ ดังเช่นในยามนี้ ผู้ตั้งใจกระทำจะต้องพิจารณาให้มากๆ อย่าได้ประมาทคิดสั้นๆ ว่า ฉันทำความดี จะทำอย่างไรก็ได้ ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมาก

ดังเช่นเรื่องราวของการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ด้วยจิตใจที่มีเมตตากรุณา หวังให้ผู้อื่นมีความสุข หวังว่าผู้มีความทุกข์จะได้พ้นจากทุกข์ จึงคิดทำด้วยการเข้าไปช่วยเหลือตามกำลัง แบ่งปันสิ่งของให้ บริจาคเงินทอง ช่วยเหลือจัดหางานให้ทำ หรือแม้ที่สุด แม้แต่การให้คำพูด คำแนะนำ ความรู้สึกที่ดีๆ ด้วยการตั้งใจทำดีตามที่คิด โดยมองเพียงแค่ผิวเผิน ไม่ได้พิจารณาให้ละเอียดรอบด้าน.. สุดท้าย จึงกลายเป็นทำคุณบูชาโทษ ส่งเสริมทุจริตชนให้แพร่ขยายพันธุ์มากขึ้นที่สำคัญ เป็นการสร้างภัยกลับคืนมาสู่ตนเอง เพราะการคิดสั้นๆ เพียงว่า ก็ฉันคิดดี ฉันพูด ฉันทำดี จะทำอย่างไรก็ได้

ในพระพุทธศาสนาของเรา มีธรรมปฏิบัติอยู่ข้อหนึ่ง เพื่อการนำสัตว์ออกจากวัฏสงสาร เพื่อความสิ้นทุกข์ คือ การเจริญสติ เพื่อการมีสติอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน ที่เรียกว่า สติมา (มีสติ) ด้วยเมื่อสติมา ปัญญาจะเกิด จะกระทำการใดๆ ก็จะเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะควร ชอบโดยธรรม มีกำลังพอที่จะเอาชนะอำนาจกิเลส ทั้งจากภายในและภายนอกให้สิ้นไปได้ พระพุทธองค์จึงทรงสั่งสอนให้เราทั้งหลายหมั่นเจริญสติในทุกลมหายใจเข้า-ออก ในทุกอิริยาบถ เพื่อการรู้เท่าทันในทุกขณะจิต ในทุกความคิด และการกระทำ จะได้จำแนกแยกแยะว่า อะไรมีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์ ควรหรือไม่ควร ก่อนที่จะกระทำด้วยการกระทำที่ถูกต้องตามธรรมวิธี ก่อเกิดความรู้ความเข้าใจถูกต้องตรงธรรม เพื่อการผ่านพ้นปัญหาวิกฤติการณ์ทั้งปวง ดับทุกข์โรคภัยทั้งสิ้นได้ด้วยปัญญา จึงควรดำเนินชีวิตอย่างมีสติ มั่นคงในวิกฤติการณ์ของสังคมยามนี้ ที่กำลังสั่นคลอนในคุณธรรมความดีที่แท้จริง !!

 

เจริญพร