กลยุทธ์การลงทุนเดือนมิถุนายน

กลยุทธ์การลงทุนเดือนมิถุนายน

สวัสดีครับท่านนักลงทุนกลับมาพบกันอีกครั้ง เพื่อมาคุยกัน เรื่องกลยุทธ์การลงทุนในเดือนมิ.ย.

เพื่อให้ทราบว่า ท่านนักลงทุน ต้องเตรียมกำหนดกลยุทธ์อะไรกันบ้างในเดือนนี้

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ดัชนีหุ้นไทย เปิดทำการซื้อขายวันแรกของเดือนที่ 1,286.64 จุด ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,358.60 จุด ทำจุดต่ำสุดของเดือนที่ 1,252.20 จุด และมาปิดที่ 1,342.85 จุด จะเห็นว่า ขึ้นมาเกือบ 70 จุด จากวันแรกของเดือนแต่ถ้าดูจากจุดต่ำสุดของเดือนที่ 1,252.20 จุด ดัชนีหุ้น ขึ้นมา 100 จุดแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อดัชนีขึ้นมาที่บริเวณ 1,350 จุด ก็มีแรงขายมาทันที

บรรยากาศการลงทุนในเดือนนี้ ยังดูเป็นบวก โดยตลาดยังให้น้ำหนักต่อประเด็นการ Reopen Economy และทยอยคลาย Lockdown อย่างต่อเนื่องของหลายๆ ประเทศทั่วโลก แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย ซึ่งตลาดยังไม่ได้ตอบสนองนั่นคือสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน ที่รุนแรงมากขึ้น ล่าสุดสหรัฐ ระบุว่าฮ่องกงไม่ได้มีความเป็นอิสระในการปกครองตนเองจากจีนอีกต่อไปซึ่งกระทบต่อสถานะพิเศษทางการค้ากับสหรัฐ หลังจากที่สภาใหญ่จีนผ่านความเห็นชอบกฎหมายความมั่นคงในฮ่องกง ดังนั้นนักลงทุนต้องตามว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะตอบโต้เรื่องนี้อย่างไร ซึ่งส่งผลกระทบด้านลบต่อตลาดหุ้นอย่างแน่นอน

ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสคุยกับนักลงทุนหลายท่าน บ่นกันมากว่า ไม่ได้ซื้อหุ้นเลยรอบนี้เพราะกลัว แต่เช่นเคย ยิ่งกลัว หุ้นยิ่งขึ้น นักลงทุนยังบอกกับผมว่า ถ้าหุ้นปรับตัวลงมารอบนี้ พวกเขาตั้งใจจะช้อนหุ้น แล้วถือเก็บเป็นการลงทุนระยะยาว ผมเลยแนะนำนักลงทุนกลุ่มนี้ไปว่า ให้รอหุ้นปรับฐานก่อน ค่อยเข้าซื้อ

ในเดือนมิ.ย. คาดว่า SET Index มีโอกาสทดสอบ 1,400 จุด ซึ่งเทียบเคียง 2021PER ที่ 16.5 เท่า ระยะสั้นจึงเน้นการลงทุนในกลุ่มการแพทย์ สื่อสาร และธนาคาร ส่วนนักลงทุนระยะยาว รอจังหวะตลาดหุ้นปรับตัวลงค่อยเข้าสะสมหุ้นอีกครั้ง

แนวโน้มตลาด เราคาดว่า SET Index จะยังแกว่งตัว Sideways Up ในกรอบ 1,320-1,400 จุด จากบรรยากาศการลงทุนที่ยังผ่อนคลาย และนักลงทุนตอบรับและคาดหวังเชิงบวกต่อการทยอยคลาย Lockdown ของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงได้แรงหนุนจากสภาพคล่องที่ล้นจากการอัดฉีดของธนาคารกลางหลักทั่วโลก ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงต่อเนื่อง (US Bond Yield พุ่งขึ้น และทองคำปรับลง) อย่างไรก็ตามเรามองว่าจุดสำคัญที่ต้องรอดูผลคือตัวเลขผู้ติดเชื้อหลังจากคลาย Lockdown ซึ่งหากควบคุมได้ดีมีโอกาสที่ดัชนีจะแกว่งตัวขึ้นต่อ แต่หากกลับมาเพิ่มขึ้นคาดว่าจะมีการคุมเข้ม Lockdown อีกครั้งและทำให้ดัชนีปรับฐาน ระยะสั้นจึงแนะนำเพียง Trading หุ้นที่ได้อานิสงส์จากการคลาย Lockdown (กลุ่มค้าปลีก ขนส่ง เป็นต้น) ขณะที่ระยะกลาง-ยาวยังให้รอการพักฐานจึงจะเป็นจังหวะสะสมหุ้นรอบใหม่

กลยุทธ์ระยะสั้นเน้น Trading หุ้นที่ได้อานิสงส์คลาย Lockdown ส่วนการลงทุนระยะกลาง-ยาว รอทยอยสะสมและทำ DCA ในช่วงตลาดปรับฐาน

สำหรับการซื้อขายแยกตามกลุ่มนักลงทุน เดือนพ.ค. 2563 (ข้อมูลวันที่ 1-29 พ.ค.2563) นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิ 31,598.34 ล้านบาท สถาบันในประเทศ ซื้อสุทธิ 17,838.01 ล้านบาท พอร์ตโบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 308.13 ล้านบาท และรายย่อย ซื้อสุทธิ 13,452.20 ล้านบาท

ในเดือนนี้ตลาดหุ้นมีแนวรับอยู่ที่ 1,280 และ 1,300 จุด และมีแนวต้านอยู่ที่ 1,400 จุด ก่อนจากกันเช่นทุกครั้ง ต้องบอกกันว่า การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนทุกครั้ง พบกันใหม่เดือนหน้า สวัสดีครับ