พ.ค.เป็นเดือนที่ผลตอบแทนการลงทุนกับความจริงทางเศรษฐกิจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ภาพเศรษฐกิจโลกหดตัวรุนแรงขึ้น เห็นได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ที่หดตัวต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ทั่วโลกในเดือนเม.ย. ขณะที่ตัวเลขเบื้องต้นเดือนพ.ค.ที่ประกาศออกมา จะเห็นได้ว่าอัตราการหดตัวช้าลงเล็กน้อย แต่ตัวเลขยังคงอยู่ในแดนลบ
ขณะที่ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาสแรกหดตัวรุนแรง โดยเฉพาะในประเทศจีนที่การระบาดครั้งแรกเริ่มต้นที่แรกในเดือนมกราคม แต่ที่อื่น ๆ รวมถึงประเทศไทยก็หดตัวลงเช่นกัน โดยในกรณีของไทยหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ปี อันเป็นผลจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 และมาตรการปิดเมือง (Lockdown) รวมถึงปัจจัยลบอื่น ๆ เช่น งบประมาณล่าช้าและภัยแล้งด้วย
แม้ตัวเลขทางเศรษฐกิจจะเลวร้าย แต่ภาพจากโลกการลงทุนนั้นค่อนข้างสดใส โดยดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ (ยกเว้นบางแห่งที่เผชิญกับปัจจัยลบเฉพาะตัว) เพิ่มขึ้นในระดับ 1-3% โดยเฉลี่ย ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั่วโลกซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ความกังวลความเสี่ยงค่อนข้างนิ่ง โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐ ญี่ปุ่นและเยอรมนี ในขณะที่ดัชนี VIX ที่วัดความผันผวนในตลาดการเงินปรับลดลงเล็กน้อย
ที่สำคัญที่สุดคือราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในเดือนพ.ค.หลังจากการลดลงไปติดลบในเดือนเม.ย. โดยนับตั้งแต่ต้นเดือน ราคาน้ำมันดิบ West Texas Intermediate และ Brent Crude ได้เพิ่มขึ้น 65% และ 83% ตามลำดับ
บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ มองว่ามี 3 ปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังการฟื้นตัวของราคาสินทรัพย์เสี่ยงในเดือนพ.ค. ได้แก่
1. มาตรการผ่อนคลายทางการเงินอย่างต่อเนื่อง ตามที่ได้กล่าวไว้ในคอลัมน์นี้บ่อยครั้งว่าสภาพคล่องที่ธนาคารกลางฉีดเพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากสภาพคล่องมีบทบาทสำคัญที่จะทำให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ว่าเศรษฐกิจและแนวโน้มธุรกิจในอนาคตจะอ่อนแอก็ตาม
ในเดือนเม.ย.งบดุลของธนาคารกลางหลัก 4 แห่ง (สหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่นและอังกฤษ) เพิ่มขึ้น 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่อง ขณะที่งบดุลของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ขณะนี้อยู่ที่ 7 ล้านล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้นจาก 4.1 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อสองเดือนก่อน
นักลงทุนยังได้รับแรงหนุนจากความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นของประธาน Fed ซึ่งได้กล่าวย้ำว่า Fed พร้อมที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะทำมาตรการอัดฉีดอย่างเต็มที่ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาแล้วก็ตาม
2. ความคืบหน้าในการเปิดเมือง (Reopening)โดยในช่วงที่ผ่านมา ประเทศส่วนใหญ่ที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เริ่มลดลง ได้เริ่มกระบวนการของการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างระมัดระวัง
โดยสามารถวัดได้จากดัชนีวัดความเข้มงวดในการควบคุมการติดเชื้อของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด (Oxford University Stringency Index) ซึ่งติดตามความเข้มงวดของมาตรการควบคุมโรคของรัฐบาลต่าง ๆ โดยดัชนีดังกล่าวในประเทศส่วนใหญ่ลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยกเว้นในสิงคโปร์ซึ่งอัตราการติดเชื้อใหม่ยังคงสูงในหมู่แรงงานอพยพ ขณะที่ในสหรัฐอเมริกาขณะนี้ทั้ง 50 รัฐได้เริ่มเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว ซึ่งจะให้การทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเพิ่มขึ้น
3. การพัฒนาวัคซีนและ/หรือยารักษา โดยปัจจุบันบริษัทยาในหลายประเทศต่างรีบเร่งคิดค้นเพื่อจะผลิตวัคซีน COVID-19 ที่การทดลองเบื้องต้นให้ผลน่าพอใจ ขณะที่กระบวนการอนุมัติได้รับการตัดตอนให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งประเด็นเหล่านี้ส่งผลเชิงบวกให้กับตลาด
โดยผลการทดลองล่าสุดพบว่า วัคซีนที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดคือวัคซีนที่ผลิตจากบริษัท Moderna ของสหรัฐซึ่งกล่าวว่าการทดลองระยะที่ 1 ของวัคซีน mRNA-1273 นั้นแสดงผลในเชิงบวก
ขณะที่ผลการทดลองที่สำเร็จก่อนหน้านี้เป็นยารักษา remdesivir ซึ่งผลิตโดย Gilead Sciences ในสหรัฐอเมริกา โดยผู้ป่วยโรค COVID-19 ที่ได้รับยาดังกล่าวสามารถฟื้นตัวรวดเร็ว นอกจากนั้น บริษัท อื่น ๆ เช่น J&J, Inovio และ AstraZeneca กำลังรีบเร่งพัฒนาวัคซีนและ / หรือยารักษาด้วยเช่นกัน
แม้วิกฤติ COVID-19 จะดูบรรเทาลง แต่เราเชื่อว่าความเสี่ยงใหม่กำลังก่อตัวขึ้นและอาจกลายเป็นอุปสรรคใหญ่ที่สุดต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในอนาคต ได้แก่ สงครามเย็นรอบใหม่ระหว่างสองประเทศมหาอำนาจโลก
ทั้งประเด็นการค้าที่สหรัฐบีบให้จีนนำเข้าเพิ่มขึ้น ประเด็นเทคโนโลยีที่ต่ออายุการแบน Huawei และ ZTE อีก 1 ปี และประเด็นเงินทุนที่สภาผ่านร่างกฎหมายที่ให้อำนาจสหรัฐในการเพิกถอนการจดทะเบียนบริษัทจีนจากตลาดหลักทรัพย์หากไม่ทำตามข้อกำหนดสหรัฐ
รวมถึงประเด็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงล่าสุด ที่ทางการสหรัฐอาจออกมาตรการคว่ำบาตรกับจีน หลังจากที่สภาประชาชนจีนบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ที่ให้อำนาจแทรกแซงและครอบงำฮ่องกงมากขึ้น ทำให้รัฐบาลสหรัฐอาจตอบโต้ด้วยการนำมาตรการคว่ำบาตรมาใช้กับจีนภายใต้กฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยในฮ่องกงที่รัฐสภาสหรัฐเพิ่งให้การรับรองเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ฮ่องกงสูญเสียสถานะการเป็นศูนย์กลางการเงินที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลกไปในที่สุด
ในเบื้องต้นแม้ท่าทีของจีนจะรอมชอมและโอนอ่อนต่อสหรัฐโดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดคาดว่าสหรัฐไม่น่าจะผลักดันนโยบายที่จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนสหรัฐเอง แต่ความเสี่ยงด้านนโยบายยังคงมีอยู่ เนื่องจากปีนี้เป็นปีเลือกตั้ง ขณะที่บทเรียนในอดีตบ่งชี้ว่ารัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์สามารถปรับเปลี่ยนนโยบายได้ทุกเมื่อ
ดังนั้น แม้เราจะแนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักในการลงทุนตลาดสหรัฐ แต่ก็ควรทำอย่างระมัดระวังและเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง เช่น สุขภาพและเทคโนโลยี รวมถึงลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย เช่น หุ้นกู้ Investment grade, Reit และ IIF เป็นต้น