COVID-19: วิกฤตที่ทำให้โลกไม่เหมือนเดิม

COVID-19: วิกฤตที่ทำให้โลกไม่เหมือนเดิม

สงครามระหว่างมนุษยชาติและ COVID-19 นั้นหนักหนาและยืดเยื้อกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดไว้มาก

จากที่คิดว่าการระบาดจะจำกัดเฉพาะในจีนแต่กลับระบาดกระจายเป็นวงกว้างไปทั่วโลก ขณะที่ผลต่อเศรษฐกิจนั้นรุนแรงกว่าที่หลายฝ่ายคาด ล่าสุดองค์กรการเงินระหว่างประเทศ(IMF)คาดว่าวิกฤติ COVID-19 จะทำให้เศรษฐกิจโลกปีนี้หดตัว 3% รุนแรงกว่าวิกฤติการเงินโลกปี 2551 - 2552 ที่หดตัวเพียง 0.1% บทความนี้จึงพยายามฉายภาพความแตกต่างของวิกฤติ COVID-19 จากวิกฤติในครั้งก่อน แนวทางการรับมือของประเทศต่างๆ รวมถึงทิศทางของเศรษฐกิจโลก

COVID-19 กระทบเศรษฐกิจโลกในหลายมิติ

วิกฤติ COVID-19 แตกต่างจากวิกฤติครั้งก่อนในหลายมิติ มิติแรกคือ ความลึกหรือความรุนแรงของการหดตัวที่มากกว่าในอดีต โดยเฉพาะผลพวงจากการปิดเมืองทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงักสะท้อนจากตัวเลขGDPไตรมาสที่ 1 ของหลายประเทศที่หดตัวลึกกว่าคาดและมีอัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้น ทำลายสถิติทั่วโลก โดยเฉพาะจีนที่ GDP หดตัวครั้งแรกในรอบ 28 ปี และประกาศยกเลิกการกำหนดเป้า GDP

มิติที่สองคือ “ความชัน” หรือความเร็วในการฟื้นตัวที่มีแนวโน้มช้ากว่าในอดีต จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ในระยะต่อไปยังถูกกระทบจากมาตรการกักกันโรคที่เข้มงวด แม้ล่าสุดจะเริ่มเห็นการผ่อนปรนบ้าง แต่มาตรการ social distancing จะยังคงมีส่วนสำคัญไปจนกว่าจะค้นพบวัคซีนรักษา COVID-19ได้ซึ่งอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีหรือมากกว่านั้น

มิติสุดท้ายคือ ระดับหรือศักยภาพทางเศรษฐกิจที่อาจปรับลดลง ที่ผ่านมา COVID-19 ทำให้ภูมิทัศน์โลกเปลี่ยนไปอย่างมาก ที่เห็นได้ชัดเจนคือภาคการท่องเที่ยว โดยข้อมูลจาก The International Air Transport Association(IATA) ชี้ว่าความต้องการเดินทางของผู้โดยสารลดลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้รายได้ของสายการบินที่สะท้อนจาก revenue passengerkilometres (RPKs) เดือน มี.ค.2563 ลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 52.9% เทียบกับปีก่อน และส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ สายการบิน โรงแรม หรือแม้แต่ราคาน้ำมันที่ดิ่งลงมาอยู่ที่ 20 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่การชะงักของเศรษฐกิจภายในประเทศก็ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและอาจรุนแรงถึงขั้นทำลายห่วงโซ่อุปทานของบริษัทที่ยังอยู่รอดไปด้วย รวมถึงคนอาจตกงานเพิ่มขึ้นจนทำให้เศรษฐกิจบอบช้ำยากที่จะฟื้นตัว

159033518895

มาตรการรับมือต้องใหญ่พอ

เมื่อวิกฤติครั้งนี้หนักหนาที่สุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศจึงต้องมีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เช่นเดียวกัน ธนาคารกลางทุกประเทศได้พร้อมใจกันลดดอกเบี้ยนโยบายและออกมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่อง ขณะที่“บาซูก้า” การคลัง ไม่ว่าจะเป็นของสหรัฐฯ ไทย หรือสิงคโปร์ ก็มีขนาดใหญ่ถึง 12% 10% และ 7.8%ของ GDP ตามลำดับซึ่งขนาดมาตรการของแต่ละประเทศอาจแตกต่างกันไปตามบริบทของตัวเอง แต่กรอบของมาตรการมีทิศทางที่คล้ายกัน ได้แก่ (1)รับมือกับโรคระบาดในรูปแบบการสร้างนวัตกรรมป้องกันโรค อาทิ การพัฒนาชุดตรวจที่รวดเร็วแม่นยำ และการตรวจเชิงรุกในเกาหลีใต้ การสร้างระบบติดตามผู้ติดเชื้อจากฐานข้อมูลประกันสุขภาพการตรวจคนเข้าเมืองและข้อมูลศุลกากร(Big Data) ในไต้หวัน ตลอดจนงบประมาณสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนในสหรัฐฯ (2)ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและจำกัดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ อาทิ การให้ความช่วยเหลือธุรกิจการบินในสหรัฐฯ ให้มีเงินพอจ่ายพนักงานโดยสายการบินที่รับความช่วยเหลือ ห้ามเลิกจ้างพนักงานภายในเวลาที่กำหนด มาตรการช่วยค่าแรงให้ภาคธุรกิจของกลุ่มยูโร เพื่อรักษาการจ้างงานและการให้เงินช่วยเหลือแก่ผู้ที่ขาดรายได้จากการกักตัวของสิงคโปร์ (3)ฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ มาตรการกระตุ้นระยะสั้น อาทิการเพิ่มงบสนับสนุนการท่องเที่ยวของฟิลิปปินส์ การอุดหนุนเงินช่วยเหลือสำหรับซื้อรถคันแรกในจีนและมาตรการระยะยาวเพื่อยกระดับศักยภาพเศรษฐกิจ อาทิ การกระตุ้นให้ธุรกิจในออสเตรเลียลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อนำมาลดภาษี การเพิ่มงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งในเยอรมนี

เตรียมรับมือกับโลกใหม่หลังวิกฤติ

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปในระยะสั้น มีประเด็นที่ควรติดตาม คือ การผ่อนปรนมาตรการและความเสี่ยงของการระบาดรอบ เพราะหากเกิดการระบาดอีกระลอก มาตรการปิดเมืองที่มีการกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วยก็จะหยุดชะงักและเปล่าประโยชน์ทันที อย่างไรก็ดี เมื่อโลกยังต้องหมุนและคนยังต้องเดินทางการเปิดเมืองจึงจำเป็นแต่ต้องเป็นไปอย่าง “รอบคอบและค่อยเป็นค่อยไป” โดยชั่งน้ำหนักระหว่างความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงการแพร่เชื้อเป็นสำคัญ

ในระยะยาว การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายด้านคงเกิดขึ้น แม้หลายประเทศจะพยายามเดินหน้าให้การใช้ชีวิตกลับมาเป็นปกติและทำให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนได้ แต่การเดินหน้าโดยยึดติดกับความคิดหรือแนวทางเดิมๆ อาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป เพราะโครงสร้างเศรษฐกิจจะเปลี่ยนแปลงไป การทำความเข้าใจกับบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงและลงทุนเพื่อรองรับเรื่องดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็น โดยหากเปรียบประเทศเป็น “คน” หลังหายป่วยก็คงจะฟื้นตัวได้เร็วช้าไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับสุขภาพตั้งต้น “คนแข็งแรง” ก็จะกลับมาลุกขึ้นวิ่งได้เร็วกว่า เช่นเดียวกับเศรษฐกิจที่มีพื้นฐานเสถียรภาพเข้มแข็งและมีแหล่งที่มาของการขยายตัวที่สมดุลก็จะฟื้นตัวได้เร็วกว่าเศรษฐกิจที่มีความเปราะบางและพึ่งพาอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งมากเกินไป และจะดียิ่งขึ้นถ้าความสมดุลนั้นเติบโตไปในแนวทางที่สอดคล้องกับโลกใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป

COVID-19 เป็นโจทย์ที่ยากและท้าทาย ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกัน การ์ดต้องไม่ตก เราต้องรักษาวินัยในการทำ social distancing ต่อไป ขณะที่ภาครัฐต้องแน่ใจว่าทุกภาคส่วนที่กำลังเดือดร้อนจะได้รับความช่วยเหลืออย่างเพียงพอและทั่วถึงรวมถึงเตรียมพร้อมรับมือกับโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

[บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย]

โดย...

ธีรภาพ แพ่งสภา

ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค

ดร.ทิพย์ประภา เหรียญเจริญ

เศรษฐกรอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค