The New Normal ปรับชีวิตวิถีใหม่ เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส(1)
COVID-19 ส่งผลให้เกิด “New Normal” สิ่งที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ กลายเป็นเรื่องปกติทั่วไปสำหรับโลกยุคนับจากปี 2020 นี้
ซึ่งหลายสิ่งจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิม แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงระดับนี้ไม่ใช่ครั้งแรกและจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ท่ามกลางวิกฤติต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งมาพร้อมกับบทเรียนที่ท้าทาย ให้ธุรกิจของเราต้องเรียนรู้และปรับตัวในการดำเนินธุรกิจให้อยู่รอด จนไปถึงความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสให้ได้
1. โลกาภิวัตน์เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมีแผนสำรองเพื่อลดการพึ่งพาด้าน Supply Chain จากต่างประเทศ
ธุรกิจที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้า ชิ้นส่วน หรือวัตถุดิบจากแหล่งผลิตนอกประเทศ นั่นหมายความว่าคุณกำลังประสบกับปัญหาขาดแคลนสินค้า ทั้งจากความล่าช้าด้านการขนส่ง รวมถึงการผลิตที่หยุดชะงัก ส่งผลให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจในสถานการณ์ที่ตลาดกำลังมีความต้องการสูงมากแต่กลับไม่มีสินค้าจำหน่าย
โลกาภิวัตน์ซึ่งพึ่งพิงระบบการผลิตระหว่างประเทศนั้นเป็นผลดีต่อการเติบโตของธุรกิจทั้งในแง่ต้นทุนและช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่ต้องไม่เป็นการพึ่งพิงมากจนเกินไปเพราะจะกลายเป็นเรื่องอันตรายเหมือนเช่นกับสถานการณ์ในช่วงนี้ ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่ทุกองค์กรจะต้องกลับมาทบทวนนโยบายด้านการพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานในประเทศที่มีคุณภาพใกล้เคียงกัน เพื่อลดความเสี่ยงด้าน Global Supply Chain นั่นเอง ซึ่งวิธีการง่ายๆ แค่เพียงนำเอารายการวัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือสินค้า และซัพพลายเออร์แต่ละแหล่งมาพิจารณาจากนั้นทำการวิเคราะห์ระดับความเสี่ยงของแต่ละรายการที่อาจเป็นไปได้ ซึ่งจะทำให้มองภาพใหญ่ออกว่าจะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างไรบ้าง
จากรายงาน “Managing Supply Chain Risk and Disruption” ของ Deloitte พบว่า บริษัทต่างๆ ที่สามารถรับมือกับปัญหา Supply Chain ภายใต้วิกฤตการณ์นี้ ได้มีการวางแผนจัดการความเสี่ยงและการทำ Business Continuity Plan โดยมีการมองหาแหล่งผลิตที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อกระจายความเสี่ยงด้านซัพพลายเออร์ รวมถึงการนำ Digital Technology เข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลสินค้าและวัตถุดิบทุกรายการภายในระบบ เพื่อการคาดการณ์ล่วงหน้าให้รับมือได้อย่างทันท่วงที
2. การทำงานแบบ Remote Working กลายเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคต ที่จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
ทุกวันนี้ที่หลายคนคุ้นชินไปแล้วกับการ “WFH” หรือ Work From Home ซึ่งในช่วงแรกเจ้าของบริษัทหลายแห่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าองค์กรของตนจะสามารถทำงานแบบ WFH ได้ หลายองค์กรยังไม่มีเครื่องมือหรือเทคโนโลยีในการวางระบบเพื่อให้พนักงาน WFH ได้มาก่อน แต่เมื่อสถานการณ์บังคับ ทุกคนได้ถูกกระตุ้นให้ทำ Digital Transformation ครบถ้วนทั้ง “People, Process, Technology” ไปโดยปริยาย สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างการประชุมกับผู้บริหารระดับสูง การบริการลูกค้า การปิดการขาย ก็สามารถเกิดขึ้นได้ภายในไม่กี่วันหลังประกาศ Lock Down ทั้งผู้บริหารและทีมงานจัดเตรียมแผนการเพื่อรองรับทั้งด้านอุปกรณ์ การกำหนด Workflow ช่องทางการสื่อสาร ระบบติดตามการทำงาน รวมถึงเตรียมกลยุทธ์กรณีที่ต้อง WFH ในระยะยาวให้มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการเข้าออฟฟิศได้มากที่สุด
วันนี้หลายคนได้ผ่านการใช้งาน Zoom, Microsoft Teams, Skype, Google Hangout, หรือ Webex เพื่อใช้ในการประชุมออนไลน์มาแล้วครบทุก Platform เราไม่เกี่ยงว่าผู้จัดการประชุมจะใช้ Platform อะไรก็ได้ ทุกคนยินดี Install App ใหม่ เรียนรู้วิธีการกดเข้าใช้ ขอเพียงให้ทุกคนได้ประชุมร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารทุกองค์กรที่ผมได้พูดคุยด้วย บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าตารางประชุมแบบ New Normal นี้แน่นกว่าเดิม เพราะสามารถลงเวลาประชุมได้ติดกันทุกชั่วโมง ไม่มีปัญหาเรื่องเสียเวลาเดินทาง เสียเวลาเดินไปกินข้าว (กินหน้าจอ) กลายเป็นมีปัญหาเรื่องเจ็บคอเพราะพูดติดกันเยอะแทน และก็สรุปเป็นเสียงเดียวกันว่าตารางประชุมมีประสิทธิภาพ ได้งานมากกว่าเดิม
หลายบริษัทได้จัดสรรเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแบบ Work Remote เช่น การจัดพื้นที่เก็บเอกสารบนคลาวด์และไฟล์แชร์ภายในบริษัทอย่าง Microsoft OneDrive, Google Drive, หรือ Box เครื่องมือในการติดตามงานแบบ Trello, Asana, หรือ Monday ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานร่วมกัน และติดตามความคืบหน้าของโปรเจคต่างๆ อีกด้วย
สำหรับธุรกิจที่เคยมีความจำเป็นต้องมีการพบปะกับลูกค้าโดยตรง มีงานวิจัยบ่งบอกถึงการปรับตัวอย่างดีของทีมขายและตัวลูกค้าเองในช่องทางดิจิทัล จากผลสำรวจของ McKinsey ในเดือนเมษายน 2020 ที่ผ่านมา พบว่าตลาด B2B ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 90% สามารถปรับตัวได้อย่างดี โดยการประสานงานกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ทั้งหมดหรือบางส่วน และ 55% ขององค์กรโดยเฉพาะองค์กรในจีนและอินเดีย ระบุว่าการประสานงานผ่านทางดิจิทัลแบบใหม่นี้ได้ประสิทธิภาพดีกว่าเดิมเสียอีก ซึ่งหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการสื่อสารระหว่างองค์กรแบบ B2B นั้น คือการให้ข้อมูลที่ครบถ้วนบนเว็บไซต์และช่องทางการติดต่อที่ชัดเจนของแต่ละฝ่าย
3. เมื่อวิกฤติครั้งนี้มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ธุรกิจจะต้องเข้าใจลึกซึ้งไปถึง Core Value ที่แท้จริง
สิ่งที่เราสังเกตเห็นได้จากในประเทศแถบเอเชียที่มีการปลดล็อกให้ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติอย่างประเทศจีนและเกาหลีใต้ โดยนักวิเคราะห์จากองค์กรชั้นนำต่าง ๆ ได้ออกมาคาดการณ์ถึง 4 พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด โดยคาดว่าพฤติกรรมเหล่านี้จะมีแนวโน้มเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 2 ปี
พฤติกรรมที่ 1: เกิดจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยทั้งในประเทศและทั่วโลก อีกทั้งยังประสบปัญหาด้านการขาดแคลนรายได้เนื่องจากการ Lock Down จึงเป็นสาเหตุสำคัญในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคและการใช้จ่าย จากการสำรวจของ BCG และ Wunderman Thompson พบประชากรชาวไทยมีความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่ำที่สุดจากประเทศที่ทำการสำรวจทั้งหมด และผลสำรวจของ BCG ยังแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคมีแนวโน้มการใช้จ่ายที่ลดลงในทุกหมวดหมู่ ทั้งในประเทศไทย หรือในประเทศเพื่อนบ้านอย่างจีน, อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็มีการใช้จ่ายที่ลดลงเช่นกัน
ในขณะที่ทั้ง McKinsey และ Wunderman Thompson พบว่า แม้ผู้บริโภคชาวจีนจะเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนมากที่สุด โดยคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะปกติได้ภายใน 2-6 เดือน แต่พวกเขาก็ยังต้องการลดการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นในอีก 6 เดือนข้างหน้า
“ผู้บริโภคในวันนี้จึงมี Value Mindset มากขึ้น”
แล้ว Value Mindset นี้ส่งผลกระทบอย่างไรต่อธุรกิจ? มาคุยกันต่อในตอนหน้าครับ
ร่วมเขียนโดย เกื้อกานต์ สายเชื้อ หัวหน้าทีมที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ JIB Digital Consult