ความพอเหมาะและพอดีเพื่อความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ
สวัสดีครับ บทความก่อนหน้านี้ผมได้กล่าวถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่เกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ที่มีการระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วโลก รวมถึงผลกระทบที่ชัดเจนและรุนแรงทั้งด้านสาธารณสุข เศรษฐกิจและสังคม ทั้งในระดับท้องถิ่น ประเทศ และทั่วโลก ภายใต้สถานการณ์วิกฤตินี้ จึงเป็นบททดสอบสำคัญด้านความยั่งยืนทางเศรษฐกิจทั้งขององค์กรและของประเทศ โดยเฉพาะความสามารถในการลดความเสียหายจากภาวะวิกฤติและการฟื้นคืนสู่สภาวะปกติอย่างเร็วที่สุด (Resilience) ในช่วงเวลาที่ทรัพยากรที่จำเป็นทั้งในด้านปัจจัยในการผลิตหรือเงินทุนหมุนเวียนล้วนเป็นสิ่งที่ขาดแคลนอย่างยิ่ง
ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจหมายถึงแนวคิดที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยลดผลกระทบเชิงลบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมของชุมชนให้น้อยที่สุด และรวมถึงการใช้ประโยชน์และจัดการทรัพยากรธรรมชาติ (Environmental and Natural Capital) อย่างยั่งยืน
นายคอลิน คลาร์ก (Mr. Colin Clark) นักชีวเคมีเชิงคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยบริทิชโคลัมเบีย ได้ศึกษาวิจัยแนวคิดผลผลิตสูงสุดที่ยั่งยืน (Maximum Sustainable Yield: MSY) ซึ่งเป็นที่รู้จักในแวดวงวิทยาศาสตร์การประมงทั่วโลกเป็นอย่างดี แนวคิดนี้เริ่มต้นจากการคิดวิเคราะห์เกี่ยวการประมงอย่างยั่งยืนไว้อย่างน่าสนใจ
นายคอลิน ได้ศึกษาวิเคราะห์กรณีการล่าปลาวาฬสีน้ำเงิน โดยตั้งสมมุติฐานว่าในโลกนี้มีปลาวาฬสีน้ำเงินอยู่เพียง 75,000 ตัว ซึ่งแต่ละตัวสามารถขายได้ในราคาคงที่ราว 10,000 ดอลลาร์ และนายคอลินยังตั้งเงื่อนไขเพิ่มเติมว่า มีบริษัทแห่งเดียวในโลกที่ได้รับสัมปทานการล่าปลาวาฬสีน้ำเงิน โดยบริษัทมีทางเลือกสองทางดังนี้
ทางเลือกที่หนึ่งคือ ล่าปลาวาฬสีน้ำเงินเพียง 2,000 ตัวต่อปี เพื่อรักษาความสมดุลของทรัพยากรปลาที่มีอยู่อย่างจำกัด และสามารถล่าปลาวาฬสีน้ำเงินต่อไป 2,000 ตัวทุกปีอย่างไม่สิ้นสุด
ทางเลือกที่สองคือ ล่าปลาวาฬสีน้ำเงินทั้งหมด 75,000 ตัว ภายใน 1 ปี ส่งผลให้ปลาวาฬสีน้ำเงินสูญพันธุ์จากธรรมชาติโดยทันที
ซึ่งหากวิเคราะห์จากบริบทด้านผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและการเงิน ก็จะพบว่าทางเลือกที่หนึ่ง (ล่าปลาวาฬสีน้ำเงินเพียง 2,000 ตัวต่อปี) จะส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนที่ 20 ล้านดอลลาร์ต่อปีไปเรื่อยๆ อย่างไม่สิ้นสุด ในขณะที่ทางเลือกที่สอง (ล่าปลาวาฬสีน้ำเงินทั้งหมด 75,000 ตัว ภายใน 1 ปี) ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนในครั้งเดียวสูงถึง 750 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหากนำเงินจำนวนดังกล่าวไปฝากกับธนาคารที่ให้อัตราดอกเบี้ย 5% ต่อปี บริษัทจะได้รับผลตอบแทนที่ 37.5 ล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งสูงเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับผลตอบแทนจากการล่าปลาวาฬสีน้ำเงินแบบยั่งยืนตามทางเลือกที่หนึ่ง
ดังนั้นโดยสรุปแล้วทางเลือกที่สองจะให้อัตราผลตอบแทนที่สูงสุด แต่หากมองถึงผลกระทบเชิงลบต่อด้านสิ่งแวดล้อมและดุลยภาพทางนิเวศวิทยาแล้ว ทางเลือกที่สองจะนำมาซึ่งการสูญพันธุ์ของปลาวาฬสีน้ำเงิน ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศอย่างต่อเนื่องในระยะยาวต่อไป
การดำเนินธุรกิจเพื่อผลตอบแทนทางการเงินสูงสุดในระยะสั้นจึงไม่ใช่แนวปฏิบัติที่มุ่งสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ดังตัวอย่างของการล่าปลาวาฬสีน้ำเงิน หรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ประโยชน์และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ การป่าไม้ การประมง ดังนั้นบริษัทที่ทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว (Long-term Sustainability) จึงไม่เพียงพิจารณาถึงผลตอบแทนในระยะสั้น แต่ยังคำนึงถึงความสามารถของการฟื้นฟูทางธรรมชาติและการกลับคืนสู่สภาพเดิม รวมถึงระบบนิเวศเป็นสำคัญ
เล่ามาถึงตรงนี้ทำให้ผมนึกถึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของประเทศไทยที่เปรียบเสมือนเข็มทิศที่ตั้งอยู่บนความไม่ประมาทและนำทางไปสู่ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจด้วยแนวคิดด้าน “ความพอดี” ไม่ยึดติดกับวัตถุนิยมมากเกินไป จนลืมคำนึงถึงการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล และแนวคิดด้าน “ความพอเหมาะ” ซึ่งสะท้อนถึงการผลิตและบริโภคที่รับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยสรุปแล้ว ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจจึงเป็นเรื่องที่มุ่งเน้นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและการเงินในระยะยาว ซึ่งรวมถึง การรักษาดุลยภาพของทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีอยู่อย่างจำกัดในปัจจุบัน อีกทั้งการผลิตและบริโภคอย่างสมดุลและยั่งยืน ผมเชื่อว่าจากบททดสอบของวิกฤติโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในครั้งนี้ เราต่างได้เรียนรู้ร่วมกันว่าบริษัทหรือองค์กรที่มุ่งเน้นด้านความยั่งยืนจะสามารถฟื้นคืนสู่สภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว และผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านสามารถผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกันครับ