หั่นงบลงทุน สู้โควิด-19ไม่กระทบเมกะโปรเจค แต่อาจเสี่ยงล่าช้า
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 พ.ค.2563 รับทราบการปรับเปลี่ยนกรอบวงเงินร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ)
โอนงบประมาณรายจ่าย พ.ศ ... จากหน่วยงานต่างๆ มาไว้ที่งบกลางเป็นจำนวน 88,452 ล้านบาท ลดลงจากกรอบวงเงินเดิมเมื่อวันที่ 21 เม.ย.2563 ที่ครม.อนุมัติไว้ 100,395 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือ เยียวยาและบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 และความจำเป็นอย่างอื่น เช่น สถานการณ์ภัยแล้ง เป็นต้น
ตามหลักเกณฑ์และแนวทางการโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 กำหนดให้สามารถโอน รายจ่ายประจำที่ยังไม่มีการเบิกจ่าย และหรือสามารถชะลอข้อผูกพันได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการสัมมนา การประชาสัมพันธ์ การเดินทางไปราชการต่างประเทศ เป็นต้น รายจ่ายลงทุนที่เป็นรายการปีเดียวที่ยังไม่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง หรือลงนามจัดซื้อจัดจ้างไม่ทันวันที่ 31 พ.ค.2563, รายจ่ายผูกพันข้ามปีงบประมาณที่ยังไม่ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันก่อนวันที่ 7 เม.ย.2563 รวมถึงรายการที่หน่วยงานพิจารณาแล้วเห็นว่าสามารถชะลอการดำเนินการได้
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานโครงสร้างพื้นฐาน กระทรวงคมนาคมถูกหั่นงบประมาณตามกรอบเดิมคิดเป็นเงินงบประมาณ 11,165 ล้านบาท มากเป็นอันดับ 3 รองจากกระทรวงการคลังและกระทรวงกลาโหม (กรอบวงเงินใหม่ยังไม่ได้ข้อสรุป) ทำให้มีแนวโน้มที่จะหั่นงบลงทุนในโครงการขนาดเล็ก งานบูรณาการและงานซ่อมบำรุง โดยอาจเลื่อนหรือชะลอโครงการออกไปยังปีงบประมาณ 2564
โครงการลงทุนที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบตามหลักเกณฑ์และข้อมูลการให้สัมภาษณ์ของหน่วยงานกระทรวงคมนาคม ได้แก่ โครงการสะพานมิตรภาพไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ), ทางเลี่ยงเมืองหาดใหญ่, ทางเข้าสนามบินหาดใหญ่, ทางเลี่ยงเมืองอุดร, โครงการพัฒนาทางหลวงจ.กาฬสินธุ์, โครงการพัฒนาทางหลวงหมายเลข 2350 หนองหาน-กุมภาวปี จ.อุดรธานี, โครงการรถไฟทางคู่สายใหม่บ้านไผ่-มุกดาหาร-นครพนม, โครงการรถไฟฟ้ารางเบาภูมิภาคในจ.ภูเก็ต จ.เชียงใหม่และจ.นครราชสีมา ขณะที่ก็มีหลายโครงการที่ได้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันในปี 2563 ไว้แล้วจึงไม่ได้รับผลกระทบ เช่น โครงการรถไฟทางคู่สายนครปฐม-ชะอำ สายหาดใหญ่-ปาดังเบซาร์ ทางหลวงรองรับอีอีซี อาทิ สายปราจีนบุรี-อ.พนมสารคาม เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การหั่นงบประมาณจะไม่กระทบต่อโครงการขนาดใหญ่หรือเมกะโปรเจค เนื่องจากเป็นโครงการที่ครม.ให้ความเห็นชอบแล้วอีกทั้งเป็นโครงการที่มีลำดับความสำคัญสูง อาทิ โครงการรถไฟทางคู่ที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง เช่น มาบกะเบา-จิระ, ลพบุรี-ปากน้ำโพ, โครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง เช่น สายสีชมพู สายสีเหลือง สายสีส้ม (ตะวันออก), มอเตอร์เวย์ เช่น บางปะอิน-โคราช บางใหญ่-กาญจนบุรี ตลอดจน 5 โครงการหลักอีอีซี เช่น โครงการไฮสปีด เชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา เป็นต้น
ที่สำคัญ การหั่นงบประมาณจะไม่กระทบต่อโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันตก) ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ มูลค่า 1.42 แสนล้านบาท ซึ่งจะเปิดประมูลในช่วงกลางปีนี้ เนื่องจากโครงการดังกล่าวใช้รูปแบบรัฐเอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) ซึ่งเอกชนเป็นผู้ลงทุนก่อนจากนั้นรัฐจะจ่ายเงินอุดหนุนบางส่วนภายหลัง จึงไม่ต้องใช้เม็ดเงินจากภาครัฐในระยะสั้น
แต่โครงการเหล่านี้อาจมีความเสี่ยงล่าช้าจากปัจจัยอื่น เช่น การศึกษาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) การเวนคืนที่ดิน การเตรียมความพร้อมของแหล่งลงทุน การประกวดราคา เป็นต้น ตลอดจนอาจได้รับผลกระทบจากงบประมาณที่มีอยู่จำกัดในช่วง 5 เดือนสุดท้าย (พ.ค.-ก.ย.) ก่อนที่งบประมาณปี 2564 จะมีผลบังคับใช้ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างที่ล่าช้ากว่าแผน หรือเงินค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นต้องรออนุมัติเพื่อจ่ายให้ผู้รับเหมา ทำให้กระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากดอกเบี้ยเงินกู้และค่าจ้างแรงงานโดยเฉพาะผู้รับเหมารายกลางและรายย่อยที่เป็น Sub-Contract และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังการขยายสัญญาและแผนการเปิดให้บริการ
มองไปข้างหน้า โครงการลงทุนในปีงบประมาณ 2564 จะอยู่ในรูปของรัฐเอกชนร่วมลงทุน (พีพีพี) มากขึ้น เพื่อลดทอนข้อจำกัดงบประมาณ อีกทั้งยังเป็นตัวเร่งที่จะก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนจริงหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น