หนทางไกลหมื่นลี้ เริ่มด้วยก้าวแรก
นับตั้งแต่เข้าสู่โลกการทำงานในยุคโควิด-19 เราก็ได้เห็นบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาช่วยให้เราสามารถทำงานต่อไปได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แม้จะมีมาตรการมากมายจากภาครัฐในการจัดการการแพร่ระบาดของโรคจนเราไม่อาจใช้ชีวิตทำงานได้ตามปกติ
เราได้เห็นอิทธิพลของดิจิทัลแพลตฟอร์มที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตประจำวันได้แม้จะต้องทำงานอยู่ที่บ้านเป็นหลัก เราใช้การประชุมแบบออนไลน์ และซื้อของผ่านระบบอีคอมเมิร์ซซึ่งล้วนเป็นบริการดิจิทัลที่เติบโตสูงมากนับตั้งแต่โควิด-19 ระบาดขึ้น
แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งเราก็จะพบว่าเป้าหมายในการใช้ชีวิตหรือการทำงานของเรานั้นกลับถูกทำให้ไขว้เขวได้ง่ายๆ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลเช่นกัน แม้เราจะมีความแน่วแน่ตั้งใจทำเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งมากสักเพียงใด เราก็อาจถอดใจไปได้ง่ายๆ เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับเรื่องอื่นๆ หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการตอบไลน์ การโพสต์เฟซบุ้ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ ฯลฯ
หลายๆ ครั้งที่เราตื่นขึ้นมาด้วยความตั้งใจที่จะบรรลุเป้าหมายประจำวันหลังทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นต้องหาความรู้เพิ่มในด้านต่างๆ เรียนภาษาจีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี เรียนทำอาหาร ออกกำลังกาย ฯลฯ แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าเราใช้เวลาว่างอ่านเรื่องราวไร้สาระมากมายบนโซเชียลมีเดียหมดจนไม่เหลือเวลาให้ทำเรื่องอื่นๆ อีกแล้ว
ยิ่งในช่วงแรกของการระบาด เราอาจรู้สึกว่าจำเป็นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด จนแทบจะอ่านข้อมูลในไลน์และเพจต่างๆ แบบนาทีต่อนาที ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งวิตกกังวลมาก และข่าวที่ได้รับก็ล้วนเป็นข่าวลือจนทำให้เราดูเหมือนวุ่นวายทั้งวัน
ความตั้งใจของเราในการจะทำสิ่งดี ๆ ในชีวิตจึงถูกเลื่อนเป็น “วันพรุ่งนี้” อยู่เสมอ เพราะเราปล่อยให้เวลาในแต่ละวันถูกแย่งไปโดยโซเชียลมีเดีย ซึ่งในอดีตเราก็เคยถูก “อีเมล” เบียดบังเวลาไปเช่นเดียวกัน แต่ไม่รุนแรงเท่า จนกระทั่งวอทแอพส์ ไลน์ วีแชท ฯลฯ ได้รับความนิยมมากขึ้น เราก็ตกเป็นทาสของมันไปโดยไม่รู้ตัว
เช่นเดียวกับเทคโลยีสตรีมมิ่งที่นำโดยเน็ตฟลิกซ์ ก็เป็นเข้ามาดึงดูดเวลาในชีวิตของเราให้ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ จนห่างจากเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เพราะเมื่อไรก็ตามที่เราจะลุกไปทำงานที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ ก็จะถูกครอบงำให้ “ดูอีกตอนเถอะ” จนจบทั้งซีรียส์โดยไม่รู้ตัว สิ่งที่ตั้งใจจะทำในวันนั้นจึงต้องกลายเป็น “วันพรุ่งนี้” ไปโดยปริยาย
สิ่งที่เราต้องตระหนักให้ดีคืออะไรก็ตามที่คิดว่าจะเลื่อนไปทำในวันพรุ่งนี้มักไม่เกิดขึ้นจริง เพราะเมื่อถึงวันพรุ่งนี้เราก็มักจะเสียสมาธิไปกับโซเชียลมีเดีย หรือซีรียส์ในเน็ตฟลิกซ์เหมือนเดิม จนเราติดนิสัยที่จะเลื่อนสิ่งที่ควรทำในวันนี้ให้เป็นวันอื่น และกลายเป็นผัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อยๆ
หากเทียบการผัดผ่อนแบบนี้ให้เป็นเหมือนหนี้ที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยก็จะพบว่าตัวเราเองนี้เป็น “หนี้ตัวเอง” ก้อนใหญ่ที่สุด ซึ่งหนี้เหล่านี้สะท้อนถึงต้นทุนสำคัญคือโอกาสที่ผ่านเลยไปเรื่อยๆ ในชีวิต เพราะเราไม่เอาจริงเอาจังและปล่อยให้มันผ่านไปเองจึงโทษใครไม่ได้ทั้งสิ้น
การตั้งเป้าให้ “วันนี้” เป็นวันที่เราจะเอาจริงโดยตัดเรื่องอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นออกไปให้มากที่สุดจะทำให้เราเริ่มทำสิ่งดีๆ ให้กับชีวิตได้ เช่นเดียวกับภาษิตจีนโบราณที่เราได้ยินบ่อยๆ “หนทางไกลหมื่นลี้ เริ่มด้วยก้าวแรก” ซึ่งนั่นจะทำให้เราได้ลงมือทำสิ่งที่ควรทำและขยับใกล้เป้าหมายได้ตามที่ตั้งใจเอาไว้
หากตั้งใจแน่วแน่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ เรื่องงานอดิเรก หรือการพัฒนาตัวเองในด้านต่างๆ ก็ควรตั้งเป้าหมายและลงมือทำทันที ซึ่งผลที่ได้ก็คือความคืบหน้าในแต่ละวันก็คือรางวัลชั้นดีที่เราจะได้รับแทนที่จะให้เวลาผ่านเลยไปโดยไม่มีเป้าหมายในชีวิต