จารกรรมแห่งศตวรรษ

จารกรรมแห่งศตวรรษ

หลายประเทศซื้ออุปกรณ์การสื่อสารรับส่งข้อความแบบ “ลับ” ในราคาสูงมากมาใช้ โดยหารู้ไม่ว่า

แท้จริงแล้วต้องจ่ายทั้งเงินค่าอุปกรณ์และความเสียหายจากการรั่วไหลของข้อมูลลับไปสู่ประเทศเจ้าของบริษัทผู้ผลิต ประเทศเหล่านี้เพิ่งรู้ไม่นานมานี้เองว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาถูก “ล้วงตับ” โดย CIA หน่วยราชการลับของสหรัฐ

หนังสือพิมพ์ Washington Post และสื่อสาธารณะ ZDF ของเยอรมนี เปิดโปงความลับดังกล่าวเมื่อกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเป็นข่าวสะเทือนโลก เพราะทั้งหมด 120 ประเทศใหญ่เล็ก รวมทั้งประเทศไทยเป็นลูกค้าที่ถูก “ล้วงตับ” ในช่วงเวลา 50 ปีที่ผ่านมา

สื่อทั้ง 2 ได้รับข้อมูลจากเอกสารลับของ CIA และข้อมูลเพิ่มเติมจากการสัมภาษณ์ผู้เกี่ยวข้อง เมื่อพร้อมแล้วสื่อทั้ง 2 ก็ปล่อยสกู๊ปเรื่องนี้ออกมาพร้อมกันจนเป็นข่าวดังทั่วโลก

เมื่ออ่านรายงานข่าวชิ้นนี้แล้วจึงเข้าใจว่าเหตุใดรัฐบาลสหรัฐ นำโดยนายโดนัลด์ ทรัมป์ จึงออกมาต่อต้านการซื้ออุปกรณ์สื่อสาร 5G จากหัวเว่ยของจีน โดยให้เหตุผลว่า จะมี “ของแถม” หรืออุปกรณ์เพื่อการจารกรรมแอบซ่อนอยู่ รัฐบาลสหรัฐสั่งห้ามซื้ออุปกรณ์ 5G ของหัวเว่ยที่นำหน้าสุดโนโลกเป็นอันขาด ทั้งหมดนี้คือกรณีของ “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” คือต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน

เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จบลงไปในปี 1945 นั้น ปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้ฝ่ายพันธมิตร (สหรัฐและอังกฤษเป็นหัวโจก) มีชัยก็คือความสามารถในการถอดรหัสข้อความที่สื่อสารถึงกันของนาซีเยอรมันได้ตั้งแต่ตอนต้นสงคราม คือปี 1941 และถอดรหัสข้อความของกองทัพญี่ปุ่นได้ในปี 1942

ฝ่ายที่ “ล้วงตับ” ได้ในทางทหารถือไพ่เหนือกว่าเพราะรู้ความลับจนสามารถประเมินสถานการณ์ต่างๆ เช่น กำลังกองทัพ กลยุทธ์ของการรบ ขวัญและกำลังใจของทหาร ปริมาณยุทธปัจจัย การเคลื่อนไหว ฯลฯ เมื่อประเทศทั้งหลายเห็นโทษของการไม่สามารถรักษาความลับได้ ดังนั้น เมื่อมีบริษัทใหญ่เสนอขายอุปกรณ์ใส่รหัสข้อความ (encrypt) ที่น่าเชื่อถือและขายในประเทศที่เป็นกลาง เช่น สวิตเซอร์แลนด์ จึงซื้อกันใหญ่ตั้งแต่ก่อนทศวรรษ 1970

ตลอดเวลาระหว่างก่อนปี 1970 จนถึงการปิดตัวของบริษัทซึ่งมีชื่อว่า Crypto AG ในปี 2018 ผู้ถือหุ้นมี 2 องค์กรคือ CIA และ BND (หน่วยราชการลับของเยอรมันตะวันตก)

การถือหุ้นของ 2 องค์กรนี้เป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่ผู้บริหารระดับสูงและคนทำงานของ Crypto AG เองก็ไม่รู้เลย มีบางคนเท่านั้นที่สงสัย

Crypto AG มีผู้บริหารและมือสร้างรหัสขั้นเทพจากทีมผู้ถอดรหัสของฝ่ายพันธมิตรมาร่วมด้วยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพพันธมิตรมีเครื่องใส่รหัสแบบกระเป๋าหิ้วผูกติดขา รุ่น M-209 วิธีใช้ก็คือพิมพ์อักษรแต่ละตัวของข้อความลงไปบนแป้นอักษร มันก็จะไปใส่รหัสเจาะรูบนเทปโดยขนาดและตำแหน่งของรูจะสะท้อนข้อความที่ส่ง จากนั้นก็ส่งวิทยุออกไปด้วยสัญญาณ morse code ผู้รับก็จะเอาข้อความที่รับไปแปรกลับเพื่อให้ได้ข้อความที่ส่งมา

วิธีการนี้ช้าและไม่สะดวก บริษัทจึงพัฒนาเครื่องมือสื่อสารแบบส่งข้อความลับด้วยรหัสที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นแต่สะดวกในการใช้ อย่างไรก็ดี ประเทศผู้ซื้อและเซลล์ขายหารู้ไม่ว่ามีสินค้า 2 ประเภท ประเภทแรกกองทัพสหรัฐใช้จะไม่มี “ของแถม” ประเภทที่ 2ประเทศอื่นซื้อไปใช้จะมี ของแถมให้เป็นพิเศษ กล่าวคือแอบใส่อุปกรณ์พิเศษที่ส่งข้อความทั้งหมดที่สื่อสารถึงกันไปยัง CIA

การที่ผู้เปิดโปงเรียกว่าเป็น “จารกรรมแห่งศตวรรษ” (The Intelligence Coup of the Century) นั้นไม่ผิด เพราะ CIA รู้ข้อความลับที่สื่อสารถึงกันของ 120 ประเทศ ซึ่งเป็นมหามิตรและมิตรธรรมดาเป็นระยะเวลานานถึง 50 ปี (จีน สหภาพโซเวียต รัสเซีย ไม่เคยเป็นลูกค้า) CIA รู้ข้อมูลเหล่านี้หมดอันได้แก่ข้อความส่งกันระหว่างสถานทูตต่างๆ กับประเทศแม่ ความลับของกลุ่มเจรจาทางการทหารทางการค้า ทางเศรษฐกิจ ฯลฯ 

ข้อความใดที่ส่งเป็นความลับผ่านอุปกรณ์ของ Crypto AG ซึ่งขายมากมายหลายแบบและใช้กันแพร่หลายทั่วโลกนั้นไปอยู่ในมือ CIA ทั้งหมด

หน่วยราชการลับของเยอรมัน BND ถอนหุ้นออกไปจากบริษัทในทศวรรษ 1990 เพราะเกรงว่าหากความลับการถือหุ้นในบริษัทที่ใช้ “ล้วงตับ” รั่วออกไปประเทศอาจเสียหายได้ ดังนั้นตลอดเวลา 30 กว่าปีต่อมา CIA จึงถือหุ้นผู้เดียว โดยร่วมมือกับ NSA (National Security Agency) ของสหรัฐอย่างเต็มที่ กรณีที่มากไปหน่อยคือแอบดักฟังโทรศัพท์มือถือของนายกรัฐมนตรีหญิงเยอรมนี Angela Merkel

มีหลักฐานว่า CIA นำข้อมูลลับจากการ ล้วงตับไปใช้ประโยชน์ในเรื่องต่างๆดังนี้ (ก) ไปช่วยอังกฤษตอนรบกับอาร์เจนตินา (กรณีพิพาทหมู่เกาะ Falkland ในปี 1982) (ข) ไปใช้ในการเจรจาต่อรองปล่อยตัวประกันอเมริกันกับอิหร่านในปี 1979 (ค) รู้ชัดว่า Gaddafi แห่งลิเบียสั่งบอมบ์ไนต์คลับในเบอร์ลินในปี 1986 (ง) ไปใช้ในการเจรจา Peace Accord ในปี 1993 ซึ่งประธานาธิบดีคลินตันเป็นโต้โผ โดยมีการลงนามระหว่าง Anwar Sadat แห่งอียิปต์กับนาย Menachem Begin แห่งอิสราเอล ฯลฯ

ในรายชื่อ 120 ประเทศที่เป็นลูกค้าของ Crypto AG นั้น มีไทยอยู่ด้วยและบริษัทก็เพิ่งปิดกิจการไปเมื่อปี 2018 (ปัจจุบันใครก็สามารถใช้บริการ encryption on-line ได้) ดังนั้น อุปกรณ์เหล่านี้น่าจะยังมีการใช้อยู่ถึงเวลาที่ประเทศลูกค้าต้องรีบทบทวนทิ้งอุปกรณ์มี “ของแถม” ของ Crypto AG โดยทันที

ตามแนวคิดที่ว่าผลประโยชน์ของชาติต้องไม่มีวันเปลี่ยนแปลงและต้องมาก่อนเสมอนั้น การจารกรรมมิใช่สิ่ง “ผิดจริยธรรม” ทุกประเทศก็ทำกันทั้งนั้น มากบ้างน้อยบ้าง ต่างกันไปในโลกปัจจุบันที่ข้อมูลคือทุกสิ่งทุกอย่าง เรื่องที่ถูกเปิดโปงนี้เป็นข้อเตือนใจที่ดีในการรักษาความลับความชาติ