This (Covid19)  too shall pass

This (Covid19)  too shall pass

เวลาเกิดเหตุการณ์หรือมีสถานการณ์ที่รุนแรงโดยเฉพาะเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความยากลำบากอย่างใหญ่หลวงจน  “แทบทนไม่ไหว”

  จงจำไว้ว่า  เหตุการณ์แบบนั้นจะไม่อยู่ตลอดไป  มันเป็นเรื่อง  “ชั่วคราว”  ถึงวันหนึ่งมันก็จะเปลี่ยนไป  นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษย์  ดังนั้น  เราจะต้องอดทนเพื่อที่จะ  “ผ่านมันไปให้ได้” เพื่อที่จะไปสู่ความรุ่งเรืองและมั่งคั่งที่อาจจะตามมา  และคำกล่าวคลาสสิกที่พูดโดย อับราฮัม ลินคอล์น ในแวดวงของการเมือง และ เบน เกรแฮม  ในด้านของการลงทุนที่เราควรจะจำไว้เสมอก็คือ  “This too shall pass” หรือแปลว่า  “สิ่งนี้ก็เหมือนกัน มันจะผ่านไป”  ความหมายก็คือ  นี่ก็จะเหมือนเหตุการณ์หนักหนาสาหัสครั้งก่อน ๆ  ที่เคยเกิดขึ้นและในที่สุดมันก็จะผ่านไป  และที่ผมยกคำกล่าวนี้ขึ้นมาพูดก็เพราะผมคิดว่า  เรื่องของโควิด19 ที่ทำลายเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและก่อให้เกิดความยากลำบากแก่มนุษย์ทั่วโลกอยู่ในขณะนี้นั้น  ในที่สุดก็จะผ่านไป  และโลกก็จะกลับมา “เหมือนเดิม”  หรือในกรณีนี้อาจจะมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป  “เล็กน้อย” ในแง่ที่ว่า  โลกเปลี่ยนแปลงไป “เร็วขึ้น” เพราะการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า

โควิด19 นั้น  จริง ๆ  แล้วไม่ได้ไปทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของมนุษย์โดยตรง  เพราะพฤติกรรมของมนุษย์นั้นถูกกำหนดโดยยีนที่ฝังอยู่ในตัวของคนมานานเป็นหมื่นเป็นแสนปีแล้ว  ยีนของมนุษย์ถูกออกแบบมาเพื่อที่จะสั่งให้คนทำอะไรก็ตามที่ได้ผลตอบแทนสูง  ด้วยต้นทุนที่ต่ำ  และมีความเสี่ยงน้อยหรือยอมรับได้  ผลตอบแทนนั้นก็คือสิ่งที่ตนเองจะได้รับทุกด้านที่จะเป็นประโยชน์เพื่อการอยู่รอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเงินทอง  ความพึงพอใจ  ความสุขและชื่อเสียง  เป็นต้น  ส่วนต้นทุนนั้นก็คือ  เงินทองที่ต้องจ่าย  แรงงานที่ต้องใช้  ความยากลำบากและความทุกข์ที่ต้องทน  เป็นต้น  ในส่วนของความเสี่ยงก็คือ  ผลตอบแทนนั้นอาจจะได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้  และต้นทุนที่สูงกว่าที่คิด  ทั้งในด้านของเงินทอง  แรงงานและสุขภาพ  ที่เมื่อทำไปแล้วอาจจะประสบกับการบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายด้วย  มนุษย์ทุกคนนั้นถูกออกแบบมาให้มีความเชี่ยวชาญมากในการที่จะประเมินผลตอบแทน  ต้นทุน  และความเสี่ยงในการที่จะทำอะไรต่าง ๆ  อย่างที่ทำอยู่ทุกวันจนกลายเป็นพฤติกรรมของมนุษย์ที่เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม  เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงซัก 100-200 ปีมานี้ ได้เปลี่ยนพฤติกรรมจำนวนมากที่เราทำมาเป็นหมื่นปี  ตัวอย่างเช่น  ช่วงประมาณ 100 ปีก่อน  การเดินทางด้วยรถม้าไปในที่ต่าง ๆ  ของคนในโลกตะวันตกเป็นเรื่อง “ปกติ”  แต่เมื่อโลกค้นพบวิธีผลิตรถยนต์ที่มีราคาไม่แพงมากและสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วโดยใช้พลังงานจากน้ำมัน  นั่นได้เปลี่ยนแปลงเศรษฐศาสตร์ของการเดินทางไปอย่างสิ้นเชิง  นั่นคือ  คนใช้รถนั้นได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นคือ  “เดินทางเร็วขึ้นมาก” เทียบกับต้นทุนที่อาจจะเท่าเดิมหรือเพิ่มเพียงเล็กน้อย  โดยที่ความเสี่ยงนั้น “ยอมรับได้” ผลก็คือ  เกิดการ Disruption ในอุตสาหกรรมรถม้า  ธุรกิจเกี่ยวกับรถม้า  “ตายหมด”  ในเวลาอันรวดเร็ว  เกิด “New Normal” ที่ผู้คนใช้รถยนต์แทน

ในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรม  เราเห็นการ Disrupt และเกิด New Normal อยู่เนือง ๆ และมักใช้เวลาพอสมควรกว่าที่คนทั้งโลกจะเปลี่ยนพฤติกรรมไปหมด  ตัวอย่างเช่น  เรื่องของการบินที่ผมเองยังจำได้ว่ากว่าที่คนจะใช้การเดินทางโดยเครื่องบินเป็นหลักนั้นก็เป็นเวลาหลาย ๆ  สิบปี  ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่ากว่าที่ต้นทุนของการบินจะลดลงมาจนทำให้ผลตอบแทนที่ได้นั้นคุ้มค่าสำหรับคนทั่วๆ ไป ก็เป็นเวลานานเพราะการลดต้นทุนค่าผลิตเครื่องบินและการทำการบินนั้นทำได้ค่อนข้างยาก  แต่ในยุคของการปฏิวัติทางด้านข้อมูลข่าวสารหรือโลกยุคดิจิตอลนั้น  ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากและเราก็ได้เห็นการเกิด Disruption และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนจนกลายเป็น  New Normal จำนวนมาก

ธุรกิจสื่อถูก Disrupt เพราะการส่งข้อมูลที่เป็นตัวอักษรหรือรูปภาพโดยคอมพิวเตอร์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตนั้นมีประสิทธิภาพสูงมาก  ผลตอบแทนที่ได้นั้นดีกว่าการพิมพ์ลงบนกระดาษมาก  การส่งทำได้ในเสี้ยววินาทีด้วยต้นทุนที่ต่ำจนแทบจะไม่มี  ผลก็คือ  ธุรกิจหนังสือพิมพ์  วารสารต้องปิดตัวกันเกือบหมด  New Normal ที่เกิดขึ้นแทนก็คือ พวกเว็บไซ้ต์ต่าง ๆ    เฟซบุค และทวิตเตอร์  เป็นต้น  เช่นเดียวกัน  ธุรกิจทีวีเองก็กำลังถูกทำลายโดยระบบ Streaming ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำและคุ้มค่าสำหรับคนดูมากกว่าโดยเฉพาะคนที่มีรายได้สูงพอสมควร  และนี่ก็ทำให้คนหันมาดู Netflix มากขึ้นเรื่อย ๆ  รวมถึงระบบของ ดิสนีย์และอีกหลายแห่งที่กำลังตามมา 

 ระบบ E-commerce ของสินค้าจำนวนมากกำลังทำลายร้านค้าปลีกดั้งเดิมเนื่องจากคนซื้อได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าการซื้อจากร้านโดยที่ “ความเสี่ยง” ที่จะไม่ได้ของที่ถูกต้องลดน้อยลงมากจนคนส่วนใหญ่ยอมรับได้  ดังนั้น  ห้างร้านจำนวนมากกำลังถูกแย่งธุรกิจไปมากขึ้นเรื่อย ๆ  อย่างไรก็ตาม  ห้างบางประเภทก็ยังไม่ถูก Disrupt และอาจจะไม่ถูกทำลายเลย  เพราะผลตอบแทนและต้นทุนของการค้าขายผ่านอินเตอร์เน็ตยังสู้ร้านค้าปกติไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น  ร้านสะดวกซื้อซึ่งลูกค้ามักจะสะดวกที่จะซื้อจากร้านมากกว่าการสั่งผ่านอินเตอร์เน็ตเพราะต้นทุนต่ำกว่าและสามารถได้รับสินค้าได้เร็วกว่าเนื่องจากร้านมักจะอยู่ไม่ไกลแค่เดินไม่กี่ก้าว    หรือร้านขายสินค้าปรับปรุงและตกแต่งบ้านที่คนมักจะซื้อสินค้าหลายอย่าง  ของมีความหลากหลายของรูปแบบที่คนซื้ออยากเห็นสินค้าจริง ๆ  และมักจะซื้อจำนวนมากซึ่งทำให้คุ้มที่จะเดินทางไปซื้อเองที่ร้านมากกว่าซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต เป็นต้น

 การเกิดโควิด19 นั้น  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนทั่วโลกในช่วงเวลานี้  สิ่งที่เปลี่ยนชัดเจนก็คือการงดออกจากบ้านหรือออกน้อยลงจำนวนมาก  การทำ Social Distancing หรืออยู่ห่างจากคนอื่น  การสวมหน้ากากป้องกันการติดเชื้อ  การรักษาความสะอาด  ผลจากการนั้นทำให้คนซื้อสินค้าทาง E- commerce โดยเฉพาะการสั่งอาหารมากขึ้นมากในเวลาอันสั้น  การทำงานที่บ้านผ่านระบบอินเตอร์เน็ตรวมถึงระบบซูมแทนที่จะไปทำงานที่สำนักงาน  การงดสังสรรค์ งดดูกีฬาและคอนเสิร์ต  เหตุผลก็คือ  เพื่อลดความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ  ในภาพใหญ่นั้น   โควิด19 ได้เพิ่ม “ความเสี่ยง” ของการทำกิจกรรมจำนวนมากและนี่ทำให้ภาพของผลตอบแทน  ต้นทุน  และความเสี่ยงของมนุษย์ในการทำกิจกรรมต่าง ๆ  เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่กล่าว  อย่างไรก็ตาม ถึงจุดนี้ดูเหมือนว่าการระบาดกำลังค่อย ๆ  ลดลง  จำนวนคนติดเชื้อต่อวันลดลงเกือบทุกแห่งทั่วโลกหลังจากคนตระหนักว่าการแพร่ระบาดของไวรัสมีกระบวนการอย่างไรและจะป้องกันได้อย่างไร

  สำหรับประเทศไทยเองนั้น  ผมเชื่อว่าด้วยอากาศที่ร้อนมากทำให้เรามี “ป้อมปราการ” ที่แข็งแกร่งในการป้องกันโรคที่ดีมาก  และด้วยวัฒนธรรมและการป้องกันตัวที่ดี  โควิด19 คงไม่กลับมาระบาดมากขึ้นอีกต่อไป  นี่ก็คงคล้าย ๆ  กับประเทศเพื่อนบ้านทั้งลาว กัมพูชา เมียนมาร์และเวียตนามที่ต่างก็มีการติดเชื้อน้อยมาก  ผมเองคิดว่าเราน่าจะกำลังผ่านเรื่องของโรคไปได้แล้ว  ในประเทศเขตหนาวโดยเฉพาะประเทศพัฒนาแล้วก็กำลังเข้าสู่ฤดูร้อนและด้วยการป้องกันที่ดีขึ้นผมก็คิดว่าในที่สุดพวกเขาก็จะสามารถ “เอาชนะ” โควิด19ได้แม้จะใช้เวลามากกว่า  และถ้าภายใน 1-2 ปี โรคโควิด19 หมดไป  “ความเสี่ยง” ที่คนจะติดโรคก็จะลดลงมาจนเกือบเท่าเดิมก่อนเกิดโควิด  พฤติกรรมของคนก็จะกลับมาเหมือนเดิมหรือเกือบเหมือนเดิม

สิ่งที่แตกต่างก็คงมีบ้าง  แต่เหตุผลมาจากการที่คนจะใช้ e-commerce มากขึ้นเพราะเขาเรียนรู้ว่า  การสั่งสินค้าผ่านอินเตอร์เน็ตนั้น  ให้ผลตอบแทนที่ดี  มีต้นทุนและความเสี่ยงที่ต่ำในการสั่งซื้อสินค้าหลาย ๆ  อย่าง  ดังนั้นเขาก็จะทำมันต่อไป   นอกจากนั้น  คนจำนวนหนึ่งก็พบว่าการทำงานที่บ้านนั้นได้ผลตอบแทนที่ดี  ต้นทุนต่ำและไม่ได้มีปัญหาหรือความเสี่ยงดังที่เคยกลัวกัน  ดังนั้นพวกเขาก็จะทำต่อไป  ส่วนคนที่ต้องนั่งห่างกันหรือโต๊ะเว้นโต๊ะเวลานั่งกินอาหารหรือนั่งเครื่องบินในช่วงนี้นั้น  หลังจากโควิดแล้วพวกเขาก็จะกลับมานั่งชิดกันเหมือนเดิมเพราะความเสี่ยงนั้น  “หมดไปแล้ว” พฤติกรรมนั่งด้วยกันหรือใกล้ชิดกันนั้นให้ผลตอบแทนที่ดี  มีต้นทุนที่ต่ำกว่า  และความเสี่ยงที่ยอมรับได้   เช่นเดียวกัน  ในด้านของการท่องเที่ยว  การไปดูกีฬาหรือคอนเสิร์ตที่พวกเขาหลีกเลี่ยงในช่วงโควิดระบาดเพราะความเสี่ยงที่จะติดเชื้อ  พวกเขาก็จะกลับมาเที่ยวและดูเหมือนเดิม  เพราะมันอยู่ในยีน  และการนั่งดูที่บ้านนั้นมันให้ผลตอบแทนหรือมีความพอใจหรือความสุขน้อยกว่า  การดูกีฬา  ดูคอนเสิร์ต  หรือท่องเที่ยว “ที่บ้าน” นั้นไม่สามารถมาทดแทน “ของจริง” ได้