พร้อมเสมอที่จะฟื้นกลับคืนมา

พร้อมเสมอที่จะฟื้นกลับคืนมา

วิกฤติมาแล้วก็ไป แต่บางคนผ่านไปด้วยดี บางคนเหมือนตกจากสวรรค์ ขึ้นกับใครจะมีความพร้อมที่จะฟื้นกลับคืนมามากแค่ไหน

น้อยคนนักที่ได้ดีในระหว่างวิกฤติ ส่วนใหญ่โดนกระทบด้วยกันทั้งนั้น กระทบมากกระทบน้อยขึ้นอยู่กับความอึดที่มีอยู่ ถ้าอึดไม่พอ โดนกระทบก็ทรุดทันที ทรุดแล้วก็ลุกกลับมายืนเหมือนเดิมไม่ได้ สุดท้ายบางคนก็ไปฝากความหวังไว้กับความช่วยเหลือต่างๆ จนเป็นเหมือนที่พึ่งสุดท้ายในชีวิตไปเลย ถ้าพลาดจากที่พึ่งนี้ไปแล้ว ก็แทบไม่เห็นหนทางที่จะอยู่รอดจนผ่านวิกฤติไปได้

มนุษย์ผ่านวิกฤติหนักๆ มาแล้วมากมายหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็มีคนจำนวนมากที่ฟื้นกลับคืนมาได้เป็นอย่างดี โดยอาศัยวิธีการที่ไม่แตกต่างจากกันมากนัก เริ่มต้นด้วยการทำใจยอมรับว่าเกิดวิกฤติขึ้นจริง โรคระบาดใหญ่ในวันนี้ ยังมีคนจำนวนไม่น้อยในโลกนี้ยังยืนยันว่า โรคระบาดไม่ใช่วิกฤติใหญ่โตอะไร เราจะไม่มีวันฟื้นตัวกลับคืนมาได้เลย ถ้าเราเอาแต่ปฏิเสธว่ามีวิกฤติเกิดขึ้น เราหวังแต่ว่า วันหนึ่งทุกอย่างจะกลับไปเหมือนเดิม ซึ่งถ้าไม่หลอกตนเองจนเกินไป คงนึกได้ว่าหลังวิกฤติใหญ่ทุกครั้ง แทบทุกอย่างในโลกเปลี่ยนไปเสมอ สงครามใหญ่จบลงด้วยการสูญเสียอย่างมหาศาล แต่ตามมาด้วยระเบียบโลกแบบใหม่ และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไปเป็นแบบใหม่ อยากฟื้นกลับคืนมาได้ ต้องยอมรับก่อนว่ามีวิกฤติเกิดขึ้นจริง และหลังวิกฤติต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแน่ ๆ

ต้องรู้จักอดทนอดกลั้นให้มากขึ้นในระหว่างวิกฤติ ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้ท่องคาถาเพิ่มความอดทนอดกลั้นกันไว้ก่อน การตีโพยตีพายเป็นสิ่งที่พบเห็นเสมอท่ามกลางวิกฤติ แต่การตีโพยตีพายไม่ว่าจะมากแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรที่สามารถทำให้ฟื้นกลับคืนมาได้ด้วยดี โวยมากด่ามากแล้วจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นจริงหรือไม่? อดทนไว้ก่อนจะช่วยให้ผ่านวิกฤติไปได้หรือไม่? คำตอบอยู่ในใจของทุกคนอยู่แล้ว

ต้องไม่หวนกลับไปทำแบบที่เคยทำก่อนวิกฤติ เมื่อใดก็ตามที่นึกจะทำอะไรในวันหน้า คนเรามักฝักใฝ่หาวิธีการเก่าๆ มาใช้ เพียงแต่มีการใช้วิธีเก่ากับเครื่องมือใหม่ๆ เคยยอมเดินทางกัน 2-3 ชั่วโมง เพื่อไปประชุมเจอหน้ากันแค่ชั่วโมงเดียว พอมีโรคระบาด หัวหน้าใหญ่กับบริวาลยังใส่หน้ากาก นั่งห่างกันไม่ถึงเมตร รวมกันอยู่ในห้องประชุมเดียวกันแทบจะเหมือนเดิม ต่างกันไปบ้างตรงที่มีผู้ทรงคุณวุฒิประชุมผ่านทีมบ้าง ซูมบ้าง เทคโนโลยีตั้งใจให้ต่างคนต่างอยู่คนละห้อง อยู่คนละที่ แต่ทำงานร่วมกันได้ ท่านกลับยังอยู่ในที่เดียวกันเหมือนเดิม ท่ามกลางโรคระบาด

อย่ายอมให้วิกฤติมากำหนดชะตาชีวิตของเรา เราเท่านั้นที่จะกำหนดเองว่าเราต้องการอนาคตที่จะเป็นอย่างไร อย่ายอมให้วิกฤติกำหนดว่าเราต้องเป็นคนตกงาน แต่ต้องกำหนดตนเองว่า ต้องมีฝีมือในเรื่องใดขึ้นมาบ้าง ที่ทำให้ได้เป็นอย่างที่อยากเป็น ทั้งระหว่าง และหลังวิกฤติ แปลว่า เราต้องกำหนดเส้นชัยที่เราอยากจะไปถึงไว้เสมอ ไม่ว่าจะวิกฤติแค่ไหน ต้องกำหนดเองว่าอนาคตของเราจะเป็นอย่างไร โดยพยายามให้เป็นเส้นชัยที่เป็นไปได้ อย่าเพ้อฝัน วิกฤติต้องไม่ทำให้เราลดทอนคุณค่าของตัวเราลงไป อย่ามัวแต่อ่านไลน์ อ่านเฟสบุ๊คที่บอกว่าวันหน้างานนั้นจะแย่ งานนี้จะหายไป จนกระทั่งเชื่อไปเองว่าตัวเราไร้ค่าไปเสียแล้ว จงเชื่อมั่นในฝีมือ เชื่อมั่นในสติปัญญาและวิสัยทัศน์ของตนเอง แล้วทุ่มเท อดทนสร้างความสามารถใหม่ที่ต้องมี เพื่อให้ไปถึงเส้นชัยตามที่คาดหวังไว้ ระลึกไว้เสมอว่าเราไม่ใช่ตัวละครในหนังเทอร์มิเนเตอร์ที่อนาคตถูกกำหนดไว้แล้ว เลยต้องมาไล่ล่าแก้ไขอดีต อย่าหมดหวังในระหว่างวิกฤติ หมดหวัง จะหมดความพยายาม จะหมดฝีมือที่จำเป็นสำหรับการฟื้นกลับคืนมา

ที่ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง คือคนเราฟื้นกลับคืนมาได้ดีกว่า ถ้ามีพรรคพวก เพื่อนฝูงที่ดี แต่วิกฤติมักทำให้ต่างคนต่างหาทางเอาตัวรอด วิกฤติทำให้คนพยายามหาแพะรับบาป เรื่องนิดเรื่องหน่อยก็ต้องมีใครเป็นจำเลย วิกฤติทำให้คนเห็นต่างง่ายกว่าในยามปกติ แบ่งพวกได้ง่ายขึ้น วิกฤติสลายเพื่อนฝูงได้มากกว่าที่คาดคิด จึงควรจดจำไว้เสมอว่า ท่ามกลางวิกฤตินี้ เพื่อนคือเพื่อน พรรคพวกยังเป็นพรรคพวกอยู่ อย่าสลายมิตรท่ามกลางวิกฤติ