โควิดโลกยังล้อมไทย:  เอาไงดีกับหุ้นทองกองทุน

โควิดโลกยังล้อมไทย:  เอาไงดีกับหุ้นทองกองทุน

หลังจากที่หวาดผวากับการระบาดของโควิดมาร่วม 3 เดือน กระทั่งหลายวันมานี้ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในไทยก็เบาบางลงมามาก

นำมาสู่การทะยอยปลดล็อคการใช้ชีวิต และเปิดกิจการค้าที่จำเป็นกับชีวิต  ขณะนี้ความกลัวที่จะต้องติดโรคหรือล้มตายคลายลงไปมาก สำหรับผู้ลงทุนถือเป็นเรื่องที่ดี คงเหลือเพียงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนอยู่พอสมควร

 อย่างไรก็ตาม ยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ของโลก ยังค่อนข้างหนัก ตัวเลขรายวันยังยืนแถววันละ 80,000 คน หรือเท่ากับ 2.4 ล้านคนต่อเดือน รวมทั้งค่าสะสมพอกพูนมาใกล้ 4 ล้านคนเต็มทีแล้ว 

และที่ต้องจับตาซ้ำอีกที อยู่ที่หลายประเทศเตรียมการปลดล็อก อันเป็นแรงบีบจากภาวะเศรษฐกิจที่ดำดิ่งลง จำนวนคนว่างงานพอกพูนขึ้นอย่างพรวดพราด และมีปัญหาในการเยียวยาที่ไม่ทั่วถึงและเพียงพอ

จากเหตุผลดังกล่าว ที่จะมีการปลดล็อก  ประกอบกับผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดต่อที่ได้ศึกษาจากสถิติโรคระบาดเดิมๆฟันธงไว้ว่า มีโอกาสสูที่จะระบาดรอบสอง ผมจึงคิดว่าผู้ลงทุนไม่สามารถชะล่าใจได้เลยครับ 

เมื่อสำรวจข้อมูลเศรษฐกิจไทย สำนักวิเคราะห์มาตรฐานหลายแห่ง ได้ทะยอยปรับลดคาดการณ์ GDP ปี 63 ของไทยลงไปเรื่อยๆ จนถึงระดับติดลบ 5-7% ในขณะที่คาดการณ์ผลกำไรปีนี้ของบริษัทในตลาดหุ้นไทย หลายสำนักลดคาดการณ์กำไรตลาดลงไปเหลือ 70-75 บาท หรือเทียบเท่า การลดลงประมาณ 16% จากฐานปี 62

  หากจะมองต่อไปในแง่ดีว่า ที่สุดแล้วโลกนี้จะสามารถสร้างวัคซีนได้สำเร็จในปี 2564 และโลกก็จะกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่ก็จะเป็นปกติเเบบ New normal ซึ่งหมายถึง กิจกรรมและกิจการหลายอย่างเปลี่ยนไป ในแง่ธุรกิจก็คงไม่กลับไปดีเท่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิจการเดินทางท่องเที่ยวข้ามประเทศ โรงแรม Eventการแสดง Eventการค้า การนั่งทานและดื่มนานๆในร้านอาหาร สนามกีฬา แม้กระทั่งการลดการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานในอนาคต

  ด้วยการประเมินภาพตามที่กล่าวมา เมื่อมามองในมุมของสินทรัพย์เป้าหมายการลงทุนนั้น คงต้องเตรียมการดังนี้ครับ

  1 .หุ้น กองทุนหุ้น และกองทุนอสังหา&REIT ในเดือนที่ผ่านมา ราคาได้ขึ้นมามาก เมื่อเทียบกับระดับ   คาดการณ์กำไรปี 63 ของตลาดหุ้นไทยที่ 70-75 บาท เท่ากับระดับ PE ที่ 17-18 เท่า ซึ่งค่อนข้างสูง

ทำให้หลายสำนักวิจัยเริ่มเตือนผู้ลงทุน ให้ระวังวงจรการปรับตัวลงในเดือนพฤษภาคมนี้ ผมคิดว่าถ้า    พอร์ตการลงทุนรวมของคุณผู้อ่าน มีหุ้นแน่นมาก เช่น มี 70-80% แบบนี้คงต้องลดหุ้นลงบ้างครับ เพราะโอกาสที่ราคาจะปรับลงมีสูง 

อย่างไรก็ตามหากท่านมีหุ้น/กองทุน อยู่ค่อนข้างน้อยเช่น 10-20% ของพอร์ต ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกดน้ำหนักการลงทุนให้ผอมไปกว่านี้อีก แต่เป็นโอกาสที่ได้ทยอยลงทุนเพิ่มเป็น 25-30% ตอนที่ราคาหุ้น  อ่อนลงไปมาก

   หากเลือกหุ้นเป็นรายตัว ควรเลือกในหลายธุรกิจที่มีแนวโน้มดีในช่วง New normal  เช่น ธุรกิจสื่อสาร อาหารที่ไม่ได้เน้นการนั่งทานที่ร้าน ธุรกิจไฟฟ้า เป็นต้น รายละเอียดหุ้นที่ท่านจะเลือกพิจารณา ผมแนะนำให้เข้าดูข้อมูลของสมาคมนักวิเคราะห์ฯ ที่   https://www.iaathai.org  หรือ                                                         https://www.settrade.com/settrade/iaaConsensus 

2. ทองคำ หรือกองทุนทองคำ ควรมีไว้ในพอร์ต 10% เนื่องจากช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่นั้น จะเป็นโอกาสของทองคำเสมอ แม้ว่าในปีนี้ ราคาทองเป็นบาทได้ขึ้นมาแล้ว 21% แต่ด้วยแนวโน้มที่ย่ำแย่ของเศรษฐกิจ  โลกอีกยาวนาน แนวโน้มขึ้นของทองคำจึงยังอยู่ อย่างไรก็ตามด้วยพฤติกรรมราคา แม้มีแนวโน้มขึ้น ก็มี ช่วงปรับตัวลงมา 5-10% ได้ในบางจังหวะ นักเล่นทองจึงมักรอช้อนตอนราคาอ่อนตัวลง

3.กองทุนตราสารหนี้ YTD ยังให้ Return 1.29% ผมอยากแนะนำให้มีเพิ่มขึ้นจาก 50% ของพอร์ตเป็น  60% เพื่อรองรับสถานการณ์ความเสี่ยง และควรเป็นกองที่เน้นพันธบัตรรัฐบาล หรือหากมีหุ้นกู้เอกชนก็ควรเป็นเรทติ้งสูงๆ และไม่ใช่ธุรกิจเดินทางท่องเที่ยว 

 ท้ายนี้ ขอแนะนำคุณผู้อ่านเข้าสู่ยุค New normal ของการเรียนรู้ทางออนไลน์เรื่อง การประยุกต์ใช้เรื่องมือประเมินมูลค่าหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ ที่สมาคมนักวิเคราะห์ฯ คัดสรรวิทยากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ คุณสุชีล นารูลา อดีต Head Of Research ที่ปั้นนักวิเคราะห์ชื่อดังหลายคนไว้ให้กับวงการหุ้น บรรยายศุกร์ที่ 29-.ค-2563 เวลา14.00-16.00 น.ค่าฟัง 1,498 บาท สอบถามข้อมูลโทร. 02-009-9292 ต่อ 3716