วัคซีนโควิด-19ไปถึงไหนแล้ว

วัคซีนโควิด-19ไปถึงไหนแล้ว

ไม่ว่าสังคมใดมีความสามารถยอดเยี่ยมเพียงใดในการระแวดระวังป้องกันและรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 จนเรียกได้ว่าควบคุมอยู่มือ

แต่นั่นก็เป็นเพียงการชนะศึก(win battles)เท่านั้น ชัยชนะอย่างแท้จริงคือชนะสงคราม(win the war)นั้นยังไม่เกิด ถ้าจะเกิดก็ต้องมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพออกมา ข่าวดีล่าสุด ก็คือ ณ 15 เม.ย.2563 ทั้งโลกมีจำนวนวัคซีนที่อาสาปราบสงครามนี้อยู่ถึง 86 ตัว!

ข้อมูลส่วนใหญ่สำหรับเขียนวันนี้มาจากนิตยสาร The Economist ฉบับล่าสุด (18-2 April 2020) นิตยสารรายอาทิตย์ระดับโลกของอังกฤษที่ได้รับความเชื่อถืออย่างยิ่ง 176 ปี ครอบคลุมทุกเรื่องโดยเฉพาะเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ธุรกิจ วิทยาศาสตร์ ฯลฯ พิมพ์อาทิตย์ละ 9 แสนฉบับ และยังมีอยู่ในรูปdigital ให้กับสมาชิกอีก 1.6 ล้านราย

ขณะนี้วัคซีนทั้ง 86 ตัว อยู่ในขึ้นทดลองที่แตกต่างกัน กำลังแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะประเทศใดเป็นผู้ผลิตวัคซีนที่ใช้งานได้ดีก่อนคนอื่น โดยมีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิคุ้มกันได้สูง ผลิตได้ง่ายเร็วถูกและปลอดภัยก็จะได้เป็นเจ้าของอาวุธสำคัญยิ่งในการสร้างอำนาจและบารมีทางการเมืองในประเทศและระหว่างประเทศ สร้างอำนาจทางการทูตและเกิดอำนาจต่อรองที่สำคัญ และประการสำคัญที่สุดจะได้รับความชื่นชมจากทั่วโลกเป็นอย่างยิ่ง

ไวรัสที่ทำให้ชาวโลกลำบากมีชื่อว่า SARS-CoV-2(อยู่ในตระกูล Corona และเป็นพี่น้องกับไวรัส SARS -CoV ที่ทำให้เกิดโรค SARS) ก่อให้เกิดโรค Covid-19 (มาจาก Coronavirus disease ที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2019)

ข่าวดีก็คือ วัคซีนตัวเก็งมีอยู่ไม่ต่ำกว่า 6 ตัวและอาจได้มากกว่า 1 ตัวก่อนสิ้นเดือน ส.ค.ปีนี้ ซึ่งจะยืนยันได้ว่าเป็น practical vaccine กล่าวคือมีลักษณะดังที่ได้กล่าวข้างต้น อย่างไรก็ดี ถึงมีข่าวดีแต่ก็มีข่าวร้าย Melinda Gatesแห่งGates Foundation ซึ่งทำงานการกุศล ด้านสาธารณสุขที่ได้เกี่ยวพันกับหลายวัคซีนในระดับโลก ระบุว่า กว่าจะพร้อมฉีดให้แก่ชาวโลกได้อย่างจริงจังนั้น อาจใช้เวลาถึง 18 เดือนนับจากปัจจุบัน

แม้จะบอกได้ว่า ตัวใดเป็น practical vaccine(s)แล้ว เหตุใดต้องใช้เวลาอีกกว่า 1 ปี จึงจะถึงมือชาวโลก เร่งให้เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ? วัคซีน “ตัวเก็ง” จะเป็นของชาติใด และมีวิธีการผลิตแบบใด?

หัวใจของทุกวัคซีนคือ antigens เพราะเป็นสิ่งที่ไปกระตุ้นร่างกายให้เกิด antibodies และการตอบสนองอื่นๆ ที่สร้างภูมิคุ้มกัน ในกรณีนี้ เมื่อ SARS-Cov-2 เจาะเข้าไปในร่างกายได้วัคซีนซึ่งได้ไปกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคนี้ไว้แล้ว (ผ่านกระบวนการทางชีววิทยา หลังจากฉีดวัคซีนก่อนหน้า) ก็จะปราบเชื้อไวรัสนี้ได้อยู่หมัด ตนเองไม่ป่วยและก็ไม่เป็นพาหะให้เชื้อโรคกระจายไปถึงคนที่ไม่ได้ฉีดด้วย ด้วยวิธีการนี้จึงจะสามารถเอา “ชนะสงคราม” ได้ ด้วยเส้นทางที่เคยต่อสู้โรคระบาดอื่นๆ มามากมายในอดีต

การสร้างวัคซีนแบบดั้งเดิมมี3วิธีคือ (1) ใช้บางสายพันธุ์ของตัวเชื้อหรือที่ใกล้เคียงซึ่งง่อยเปลี้ยเสียขาแล้วจนทำให้ป่วยไม่ได้เข้าไปในร่างกายเพื่อกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันโรคนี้เช่นวัคซีน โรคหัดคางทูมหัดเยอรมัน (2) ใช้เชื้อตัวนี้ที่หมดฤทธิ์แล้วเข้าไปสร้างภูมิคุ้มกันเช่นวัคซีนโปลิโอและวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่หลายสายพันธุ์ (3) ใช้antigenที่เกี่ยวพันกับโรคนี้เช่นเอาเลือดของคนที่เคยเป็นโรคนี้มาสกัดเป็นวัคซีนเช่นโรคตับอักเสบB

เมื่อได้วัคซีนตัว“เผด็จศึก”มาแล้วก็ต้องทดลองกับสัตว์ (เรียกว่าขั้น พรีคลีนิก) เช่น หนู ลิง ฯลฯ และเมื่อมั่นใจว่าจะใช้กับคนได้เช่นกันแล้ว ก็จะลงมือผลิตวัคซีนเพื่อผ่านไปทดลองกับมนุษย์ ซึ่งมี 3 ขั้นตอน กล่าวคือขั้นตอนที่หนึ่งเพื่อมั่นใจว่าปลอดภัย ขั้นตอนที่สองเพื่อมั่นใจว่ากระตุ้นภูมิต้านทานได้จริงและขั้นตอนสุดท้าย คือมีefficacyคือให้ผลในการป้องกันโรคได้จริง

การคิดค้นได้วัคซีนมาเป็นต้นแบบ(prototype)ก็ว่ายากแล้วแต่การพิสูจน์ว่าได้ผลจริงนั้นยิ่งยากกว่าต้องใช้เวลานานกว่าจะได้รับอนุญาต(มีองค์การต่างๆทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และWHOอาจเป็นผู้ดูแล) วัคซีนป้องกันโรคEbolaซึ่งร้ายแรงมากสุดขนาดเร่งกันเต็มที่แล้ว ทั้ง3ขั้นตอนก็ใช้เวลาถึง10เดือนก่อนจะไปถึงการผลิตอย่างเป็นกอบเป็นกำ

วัคซีนโควิดทั้ง86ตัวอยู่ในขั้นการทดลองที่แตกต่างกัน บ้างยังอยู่ในขั้นทดลองกับสัตว์ขณะนี้มีอยู่ 3ตัวที่ก้าวหน้าสุดจนถือได้ว่าเป็นตัวเก็ง  วัคซีนต้นแบบที่มีความก้าวหน้าสำคัญสุดอยู่ในขั้นที่สองคือของCanSino Biological and Beijing Institute of Biotechnologyซึ่งเป็นของจีน

ต้นแบบตัวที่ 2 ยังอยู่ในขั้นทดลองที่1ก้าวหน้าใกล้เคียงกันจากModerna (อเมริกา) / Inovio Pharmaceuticals (อเมริกา) / และOxford University

ตัวแบบตัวที่ 3 มาจากSinovac Biotechnologyของจีนซึ่งก้าวหน้าเร็วเพราะใช้การต่อยอดจากการผลิตวัคซีนป้องกันSARSซึ่งได้ไปไกลถึงขั้นที่หนึ่งแล้ว แต่สะดุดไปเพราะจู่ๆSARSก็หายไป ดังนั้นจึงอาศัยความรู้เดิมในการผลิตวัคซีนมาปราบญาติตัวใหม่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่1โดยใช้วิธีผลิตแบบดั้งเดิม

ในการแข่งขันผลิตวัคซีนต้นแบบก่อนที่จะนำไปทดลองนั้น ในรอบ20ปีที่ผ่านมามีวิธีการผลิตผิดไปจากเดิมอย่างมากโดยใช้วิศวพันธุกรรมศาสตร์(Genetic Engineering) สำหรับวัคซีนโควิด-19นั้นมี3วิธีใหญ่ๆโดยอยู่บนการตัดบางส่วนของยีนส์ของSARS-CoV-2 (เป็นRNAไม่ใช่DNAโดยมีstrandอยู่เส้นเดียวการถอดgenomeของเชื้อตัวนี้ก็ทำสำเร็จกันแต่แรกๆ แล้ว)ที่เกี่ยวกับการผลิตspike protein (spikeคือลักษณะพิเศษเป็นแหลมคล้ายยอดมงกุฎที่ยื่นออกจากผิว) ที่ไม่ได้ทำให้ป่วยไข้และเอาส่วนที่ตัดออกมานี้ไปทำเป็นวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันSARS-CoV-2

วิธีการแรก (recombinant vector vaccine) คือเอายีนส์ที่ตัดออกมานี้ไปใส่ในไวรัสอีกตัวที่ไม่เป็นอันตรายเพื่อให้มันผลิตspike proteinเมื่อเป็นวัคซีนเข้าไปในร่างกาย เซลล์ก็จะติดเชื้อซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการติดเชื้อจากSARS-CoV-2 เมื่อหลอกร่างกายแล้วantibodyก็จะถูกผลิตออกมาร่วมสร้างระบบภูมิคุ้มกันแล้วก็จะคุ้นเคยกับการปราบครั้งนี้จนต่อมาหากรับเชื้อของจริงเข้าไประบบภูมิคุ้มกันก็จะออกมาปกป้องฆ่าฟันมันได้ทันที

วิธีที่ 2 (subunitvaccine)ใช้หลักการเดียวกันคือเอายีนส์ที่ตัดออกมาแบ่งเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนมีspike proteinsออกมาอย่างเป็นกอบเป็นกำเมื่อเป็นวัคซีนเข้าไปในร่างกาย เศษspike proteinsจำนวนมากซึ่งเป็นก็อปปี้กันก็จะล่องลอยอยู่จนเป็นเป้าให้ร่างกายผลิตantibodyออกมาปราบ

วิธีที่ 3 ชื่อ nucleic-acid vaccine ใช้หลักการเหมือนกันแต่สร้างก๊อบปี้จำนวนมหาศาลจากยีนส์ที่ตัดออกมาซึ่งผลิตspike proteins เซลล์ในร่างกายซึ่งรับยีนส์นี้ไปก็ดูเหมือนติดเชื้อจากก๊อบปี้เหล่านี้ การกระตุ้นantibodyออกมาปราบก็จะเกิดขึ้น

ใน 86 วัคซีน มีการใช้วิธีการที่ 2 มากที่สุด CanSinoตัวเก็งสุดใช้วิธีที่หนึ่งส่วนบริษัทเยอรมัน CureVac ใช้วิธีที่ 3 (“RNA Printer") ซึ่งผลิตวัคซีนได้มากและรวดเร็ว วัคซีนเป็นจำนวนมากใช้ 3 วิธีสมัยใหม่ จึงสามารถผลิตวัคซีนต้นแบบออกมาได้เร็ว

โดยสรุปจีนดูจะเหมือนใกล้เส้นชัยที่สุด โดยมีวัคซีนหลายตัวภายใต้หลายวิธีการอีกหลายประเทศ เช่นฝรั่งเศส คานาดา เยอรมัน อังกฤษ อินเดีย อิสราเอล สหรัฐ ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ กำลังทดลองอย่างแข่งกับเวลาไทยเองก็มีแผนการจะพัฒนาวัคซีนเอง และ/หรือร่วมทดลองกับหลายโครงการในปัจจุบัน

ปัญหาของโลกอยู่ตรงที่การผลิตอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ให้คนทั่วโลกประเทศที่เป็นผู้ชนะย่อมสามารถให้ใครก่อนหลังได้มากน้อยเพียงใด การเมืองระหว่างประเทศและการทูตจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ ใครเป็นมิตรดีกับใคร ผลประโยชน์อิงกันอย่างไร จะเป็นตัวตัดสินชะตากรรมของคนในประเทศนั้นๆ ในระยะเวลาสั้นก่อนที่จะเร่งผลิตกันครั้งใหญ่ในโลก