สังคมเศรษฐกิจในยุคโควิด เมื่อคนพร้อม ธุรกิจพร้อม (2)
การดำเนินธุรกิจนับจากนี้ต้องมีมาตรการที่รัดกุม
ท่ามกลางข่าวร้ายของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั้งผู้ป่วย ผู้เสียชีวิต และภาคเศรษฐกิจที่ต้องพบกับภาะวิกฤติครั้งใหญ่ แต่ก็ยังมีด้านดีให้เราเห็นอีกมากมาย อาทิ การร่วมแรงร่วมใจของคนไทยในการช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งเงินบริจาค และสิ่งของที่จำเป็นต่างๆ
ทุกวันนี้เราจึงเห็นคนทั่วไปใช้หน้ากากผ้าซึ่งพอเพียงต่อการป้องกันโรคในภาวะปกติ และเร่งหาหน้ากากอนามัยให้กับบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งมีความจำเป็นต้องใช้มากกว่า ในขณะเดียวกันก็เห็นการบริจาคปัจจัยให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบมากมายหลายโครงการ
เช่นเดียวกับภาคธุรกิจก็เริ่มมีมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ไม่มีรายได้ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ เช่นการพักชำระหนี้ ในขณะที่เงินช่วยเหลือจากภาครัฐก็เริ่มไปถึงกลุ่มเป้าหมาย ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาดอยู่บ้างแต่ก็น่าจะเป็นเรื่องที่บริหารจัดการได้
จากวิกฤติการณ์โควิดเราจึงเห็นโลก 2 ด้านเกิดขึ้นพร้อมๆ กันนั่นคือโลกของคนเห็นแก่ตัว ซึ่งเราจะเห็นในช่วงแรกๆ ที่เกิดการกักตุนข้าวของเครื่องใช้ อาหาร หน้ากากอนามัย รวมไปถึงการโก่งราคา การเก็งกำไรสินค้าหลายๆ ตัว จนมีคนเดือดร้อนมากมาย
กับอีกโลกหนึ่งคือโลกที่เต็มไปด้วยความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยกันทำหน้ากากผ้าให้กับกลุ่มเสี่ยงที่ไม่มีเงินซื้อหน้ากากป้องกันตัวเอง ทำเฟซชิลด์ให้บุคลากรทางการแพทย์ หรือการระดมเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ฯลฯ
ในภาวะเช่นนี้เราทุกคนล้วนเป็นผู้เสียหายจากโรคร้ายแรงที่ระบาดหนักไปทั่วโลก แต่การเลือกบทบาทว่าจะอยู่ในสังคมที่มีแต่ความเห็นแก่ตัว หรือเป็นสังคมที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่นั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเป็นหลัก แม้หลายคนจะตั้งตารอความช่วยเหลือจากภาครัฐ แต่คนไทยทั้งประเทศกว่า 60 ล้านคนนั้นยากมากที่รัฐบาลจะดูแลได้อย่างทั่วถึง
หากเรายังพอมีกำลังที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้จึงหมายถึงเรามีโอกาสที่ดีกว่าคนในสังคมอีกเป็นจำนวนมาก นี่จึงเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้คิดและทำเพื่อส่วนรวม ไม่ว่าจะเป็นการบริจาค การเป็นอาสาสมัคร หรือให้ความช่วยเหลือ ให้กำลังใจคนรอบข้าง
ขณะเดียวกัน หากเรายังพอจะทำงานที่บ้านในช่วงนี้ได้ ก็จะพบว่าปัญหาเดิมๆ ที่เราเคยเจอมาโดยตลอดคือการ “ไม่มีเวลา” นั้นกลายเป็นเรื่องตรงข้ามเพราะในเวลาเช่นนี้คนส่วนใหญ่จะพบว่ามี
“เวลาเหลือเฟือ” ให้เราจัดสรรได้เต็มที่มากยิ่งขึ้น
การทำงานที่บ้านอาจกลายเป็นจุดกำเนิดของการทำงานในยุคนี้ เพราะหลังจากโควิดผ่านพ้นไปธุรกิจและอุตสาหกรรมหลายๆ อย่างอาจพบว่าไม่จำเป็นต้องใช้คนทำงานในออฟฟิศเป็นจำนวนมากเหมือนในอดีต รูปแบบการทำงานจึงอาจเปลี่ยนแปลงไปมหาศาล
ท่ามกลางข่าวดีในการควบคุมการติดเชื้อของไทยที่อยู่ในเกณฑ์ดีขึ้นมาโดยตลอด เราจึงเห็นความเคลื่อนไหวของภาคธุรกิจที่เริ่มจะทยอยกลับมาเปิดกิจการมากขึ้น เพราะไม่ว่าอย่างไร โควิดก็ต้องผ่านพ้นไป แต่ภาคธุรกิจจะเปลี่ยนรูปแบบการทำงานไปอีกมาก
เพราะไม่ว่าอย่างไรการป้องกันการติดเชื้อก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องทำต่อไปอีกนาน เพราะเป็นการสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับส่วนรวม การดำเนินธุรกิจนับจากนี้จึงต้องมีมาตรการต่างๆ ที่รัดกุม และมีการควบคุมการปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัด
ขณะที่คนทำงานก็ต้องมั่นใจว่าช่วงเวลาวิกฤติที่ผ่านมานั้นเราได้ “ลงทุนกับตัวเอง” ไปแล้ว ด้วยการสร้างความพร้อมต่างๆ ที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการใช้แพลตฟอร์มการทำงานออนไลน์ หรือการประชุมแบบออนไลน์ ฯลฯ และมีทัศนคติในการปรับตัวรับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
เมื่อคนทำงานพร้อม ภาคธุรกิจก็มีมาตรการที่รัดกุม ภาคอุตสาหกรรมก็เตรียมการทุกอย่างเพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้ ผมเชื่อว่าประเทศไทยก็ยังคงมีอนาคตที่ดีรอเราอยู่ในวันหน้าอย่างแน่นอน