ทางรอดวิกฤติโควิด-19 สุขภาพ-สังคม นำเศรษฐกิจ

ทางรอดวิกฤติโควิด-19  สุขภาพ-สังคม นำเศรษฐกิจ

ภาคเอกชนได้ประเมินว่าผลกระทบจากโควิด-19 จะทำให้ภายใน 6 เดือนนี้จะมีคนตกงานมากกว่า 7 ล้านคน และหากยืดเยื้อต่อไปอีก 2 เดือนจะตกงานเพิ่มเป็น 10

ล่าสุด ธุรกิจขนาดใหญ่อย่างปูนซีเมนต์ก็ได้รับผลกระทบ โดย ปูนซีเมนต์นครหลวง ซึ่งเป็นบริษัทปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่เบอร์ 2 ของไทย ก็ต้องปิดโรงงาน 1 สระบุรี เซ่นพิษโควิด-19ทำให้เห็นได้ชัดว่าภัยจากโควิด-19 รุนแรงมากแค่ไหน และเอสเอ็มอีจะทนได้อีกนานเพียงไร

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในขณะนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยค่อยๆทุเลาลง ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือ 2 หลักติดต่อมาหลายวัน แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ เพราะในหลายจังหวัดยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และในต่างประเทศก็มีการแพร่ระบาดที่รุนแรง ดังนั้นในการผ่อนคลายให้เปิดบางธุรกิจก็ต้องมีความระมัดระวังอย่างสูงสุด

โดยมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)ได้ให้ความเห็นว่าในภาวการณ์เช่นนี้รัฐบาลควรจะนำเรื่องสุขภาพ สังคม เป็นตัวนำด้านเศรษฐกิจเพราะหากให้ความสำคัญเศรษฐกิจเป็นหลักหากเกิดการแพร่ระบาดจนควบคุมไม่ได้แบบสหรัฐ มีผู้ติดเชื้อเกือบ 7 แสนคน มีคนตายกว่า 3.4 หมื่นคน จะสร้างความบอบช้ำให้กับประเทศอย่างมาก ซึ่งแม้ว่าธุรกิจจะตาย แต่ก็ยังฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ได้ แต่ถ้าคนตายไม่สามารถฟื้นคืนชีวิตได้และหากควบคุมการแพร่ระบาดไม่ได้ก็จะส่งผลกระทบรุนแรงทางเศรษฐกิจมากกว่า

ดังนั้นในมาตรการผ่อนคลายเปิดธุรกิจ รัฐบาลควรจะแบ่งจังหวัดออกเป็น 3 ระดับได้แก่สีเขียวคือไม่มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตต่อเนื่อง 14-21 วันสีเหลืองคือยังมีผู้ติดเชื้อ และตายอยู่บ้าง และสีแดงมีการติดเชื้อและแพร่ระบาดจำนวนมาก 

โดยหากจังหวัดใดเป็นสีเขียวรัฐก็อนุญาตให้เปิดกิจการในส่วนที่จำเป็นได้ แต่ก็ต้องมีข้อกำหนดที่เข้มงวดเช่น ในห้างสรรพสินค้าจะต้องจำกัดจำนวนคนเข้าห้าง โดยจะต้องมีพื้นที่ห่างต่อคนไม่ต่ำกว่า 5 เมตร หรือนำพื้นที่ห้างมาหาร 5 เมตร ก็จะได้จำนวนคนที่เข้ามาในห้างได้วันละกี่คน เพื่อป้องกันการกลับมาระบาดใหม่ และหากมีการแพร่ระบาดเพิ่มกลับมาเป็นจังหวัดสีเหลือง ก็ต้องปิดกิจการต่อ

มาตรการที่กล่าวมานี้ จะทำให้เกิดความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด ภาครัฐและเอกชน ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน การป้องกันการแพร่ระบาด เพื่อให้จังหวัดของตัวเองเป็นสีเขียวสามารถกลับมาดำเนินกิจการได้ ซี่งจะทำให้ภาพรวมทั้งประเทศไปสู่การจำกัดการแพร่เชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพรวมทั้งผู้ว่าราชการในแต่ละจังหวัดก็รู้จักภาคเอกชน และแกนนำชุมชนต่างๆเป็นอย่างดี ทำให้เข้าถึงในการตรวจสอบ และเพิ่มความร่วมมือได้ง่ายกว่าการออกระเบียบคำสั่งจากส่วนกลาง

แต่หากภาครัฐ ให้เปิดกิจการตามประเภทกิจการ แทนการเปิดเป็นจังหวัด ก็อาจทำให้การแพร่ระบาดของโควิด-19 กลับมามากขึ้น เพราะในจังหวัดสีแดง ยังมีการระบาดที่รุนแรงอาจจะทำให้การแพร่ขยายวงกว้างมากขึ้น