ยังมีความหวัง? ไทยจะหยุดวิกฤติโควิด-19

ยังมีความหวัง? ไทยจะหยุดวิกฤติโควิด-19

เสียงก่นประณามจากคนชาติเดียวกัน หลังมีคนไทยบินกลับจากต่างประเทศ 158 คน แต่หลบหนีไม่ยอมไปกักตัวในสถานที่ของรัฐกำหนด เพื่อป้องกันโควิด-19

ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐต้องออกประกาศ และลงพื้นที่ติดตามตัว จนล่าสุดเข้ามอบตัวและควบคุมตัวครบ 158 คน ท่ามกลางแรงกดดันของ ภาครัฐ สื่อ และภาคประชาชน ที่ออกมากระตุ้นให้ตระหนักถึงความเลวร้ายการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ถล่มโลกอยู่ในขณะนี้

ขณะที่มีการประเมินมาตรการของรัฐบาล นับตั้งแต่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทั่วประเทศ ปิดสถานบริการ บันเทิง การศึกษา และสวนสาธารณะ เพื่อให้คนอยู่บ้าน หยุดแพร่เชื้อ เพื่อชาติ แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังเพิ่มขึ้น จึงการประกาศเคอร์ฟิว ห้ามออกจากนับตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มจนถึงตี 4 และหลายจังหวัดประกาศปิดเมืองห้ามเข้า-ออก เพื่อหยุดยั้งโรคร้ายแพร่ระบาด

ทว่า กระแสความไม่มั่นใจ "รัฐบาล" กับการรับมือแก้ปัญหา และความไม่เชื่อถือ "เจ้าหน้าที่รัฐ" ในการปฏิบัติงานที่ถูกตั้งคำถามว่าหลายมาตรฐาน เช่น กรณีนายทหารยศ "พล.ต." ถูกสอบสวนหลังปล่อยให้คนไทยเดินทางมาจากต่างประเทศ ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ โดยไม่นำไปกักตัวเพื่อควบคุมโรค 14 วัน ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรี

รวมถึงปัญหาคาราคาซัง การขาดแคลนหน้ากากอนามัย และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่ยังเป็นประเด็นให้เกิดการ "ขอรับบริจาค" ให้น่าเห็นใจยิ่ง

ทั้งนี้ทั้งนั้น กล่าวมาข้างต้น มิได้หวังจะโจมตีใครท่ามกลางวิกฤติโรคระบาด เพียงแต่จะสะท้อนว่า เรายังมี "ความหวัง" ที่จะหยุดยั้ง โควิด-19 แพร่ระบาดได้หรือไม่

โดยส่วนตัวนั้น การทำงานอยู่บ้าน พยายามออกบ้านให้น้อยที่สุด เพียงจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพราะออกกำลังกายน้อยลงก็ตาม แต่เชื่อว่า การไม่ออกไปรับเชื้อหรือแพร่เชื้อ ย่อมไม่เป็นภาระต่อครอบครัวและสังคมในยามวิกฤติ

เบื้องแรกคิดด้วยความไม่มั่นใจนัก ว่าจะมีคนเชื่อคณะแพทย์และรัฐบาลในการรณรงค์ "อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ" มากน้อยขนาดไหน

158605763469

พลันที่ "สวนดุสิตโพลล์" เผยแพร่ผลการสำรวจพฤติกรรมของ "คนไทย" ในภาวะวิกฤติโควิด-19 ออกมาวันนี้ (5 เม.ย.) ระบุว่า พบพฤติกรรมของคนไทยที่เปลี่ยนแปลง ในระดับ “มากขึ้น” คือ อยู่กับบ้าน 89.60%
การดูแลสุขภาพ 85.30%
การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ 62.77%
ทำงานที่บ้าน 61.42%
ดื่มน้ำ 60.07%
ใช้โทรศัพท์ (คุย/เล่นโซเชียล) 59.16%

ส่วนพฤติกรรมของคนไทยที่ยัง “เหมือนเดิม” คือ รับประทานยา 47.97% การออกกำลังกาย 47.44% และเล่น เกมส์/เล่นคอมพิวเตอร์ 35.88% ในขณะที่พฤติกรรมของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงในระดับ “น้อยลง” คือ ทำงานที่ออฟฟิศ 42.26%

ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า การอยู่กับบ้านไม่ใช่เรื่องแปลก สามารถทำได้ แต่อาจไม่ใช่เรื่องง่ายของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม ที่ต้องออกไปทำงานทำกิจกรรมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้หารายได้ในการยังชีพในการดำรงชีวิต

ดังนั้น จึงเห็นความหวัง ที่ยังพอมีว่า คนไทยให้ความร่วมมือในการหยุดแพร่ระบาดไวรัสโคโรนา 2019 อันนำไปสู่การควบคุมโรคในอนาคตก็ได้ ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อวานนี้ (4 เม.ย.) ลดลงด้วย ซึ่งหวังว่าจะลดลงต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ดี รัฐบาลจะต้องคิดต่อว่า ถ้าประชาชนอยู่บ้านแล้วไม่รายได้ในใช้จ่ายซื้อของยังชีพแล้วจะทำเช่นไร แม้ออกมาตรการมาแล้ว แต่อาจยังไม่พอให้เกิดความมั่นใจ และยิ่งกักตัวอยู่บ้านนานๆ ก็ยิ่งมีภาวะความเครียดสะสมได้ ควรมีการแนะนำหรือหาทางแก้อย่างต่อเนื่อง ตามเป็นแนวปฏิบัติ social distancing 

ถ้าเริ่มจากเชื่อมั่นตนเองทำได้เสียก่อน ..ความหวังไทยจะหยุดวิกฤติโควิด-19 เร็ววันก็น่าจะมี!!