ฤาจีนจะกลายเป็นเบอร์หนึ่งโลกยุคหลังโควิดระบาด

ฤาจีนจะกลายเป็นเบอร์หนึ่งโลกยุคหลังโควิดระบาด

เมื่อแรกปรากฏไวรัสระบาดหนักในเมืองจีน ทั่วโลกต่างมองยักษ์ใหญ่แห่งเอเชีย

ประเทศนี้ที่มียอดตายยอดติดเชื้อรายวันสูงทะลุฟ้าอย่างน่ากลัวว่าจะกลายเป็นคนป่วยแห่งโลก ไม่เพียงแต่จีนจะต้องสิ้นสุดความฝันในการเป็นมหาอำนาจ ทั้งยังจะพาให้ทั้งโลกเขาเละเทะไปด้วย แต่ภายใน 2 เดือนที่จีนดูเหมือนจะควบคุมไวรัสไว้ได้แล้วและกลับมาเป็นผู้ส่งออกความช่วยเหลือไปยังที่อื่น โลกก็ต้องคิดกันใหม่ ยิ่งเมื่อเห็นคู่แข่งโดยธรรมชาติของจีนอย่างชาติมหาสมุทรแอตแลนติกพากันได้รับผลกระทบจากไวรัสนี้หนักหน่วงยิ่งไปกว่าจีน ทุกคนก็เริ่มคิดกันแล้วว่า เวลาที่จีนจะเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกนั้นอาจมาเร็วเกินคาด บางทีอาจแค่ภายใน 2-3 ปีนี้เท่านั้น หลังจากการระบาดของไวรัสโควิดสิ้นสุดลง

เคยมีคติที่ว่าประชากรจีนมีเป็นพันล้าน หากพร้อมใจกันปัสสวะลงแม่น้ำ น้ำจะท่วมโลก หรือแม้แต่พร้อมใจกันจาม โลกก็จะติดหวัดจีน คติข้อหลังนี้ใกล้เคียงความจริง เพราะไวรัสที่ลามออกมาจากเมืองอู่ฮั่น แพร่กระจายไปถึงแทบทุกประเทศในโลก  ติดตามนักท่องเที่ยวและพ่อค้าจีนที่เดินทางไปถึงแทบทุกถิ่น ยิ่งเมื่อดูย้อนอดีตจะเห็นได้ว่าโรคระบาดใหญ่หลายครั้งในยุโรป รวมทั้ง Black Death ในศตวรรษที่ 14 ก็แพร่มาจากจีน ไม่ว่าจีนจะเป็นต้นเคสหรือไม่ก็ตาม หายนะของไวรัส Covid-19 คราวนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อยอดคนป่วยคนตายทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอเมริกาและยุโรปตะวันตกอย่างมหาศาล แต่ทำให้ความมั่นคงมิติอื่นของประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านั้นย่ำแย่ลงไปด้วย ผ่านทางการที่ไม่กล้าปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน และไม่สามารถผลิตสินค้า ส่งผลต่อให้เศรษฐกิจและสังคมหมุนไปในทิศทางของการล่มสลาย ความแข็งแกร่งของระบบการเมืองและการทหารก็เช่นกัน บางทีความยิ่งใหญ่ของแอตแลนติกที่ครอบงำโลกหลายร้อยปีมานี้อาจถึงวาระสิ้นสุดลงหรือเปล่า

สมมติว่ามันเป็นเช่นนั้น ความถดถอยของฝรั่ง จะถูกแทนที่ด้วยจีนที่ย่ำแย่น้อยกว่าหรือไม่ เป็นไปได้นะครับ เมื่อมองถึงการฟื้นตัวที่รวดเร็ว ความกระหายในการเร่งปฏิสัมพันธ์ และอุปทานของโลกที่หาอะไรมาอุดไม่ได้นอกจากของจากจีน และที่สำคัญคือ ความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณต่อจีนในหมู่ประเทศต่างๆ ซึ่งก็พอดีกับที่จีนก็ถนัดในเรื่องสร้างความรู้สึกนี้เสียด้วย

ก่อนหน้าที่จีนจะเกิดไวรัสระบาด จีนเริ่มซวดเซจากพิษสงครามการค้าบ้างแล้ว ดัชนีเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง การผลิตจากโรงงานราคาถูกทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ถ้ายังเรื้อรังไปกว่านี้อาจส่งผลถึงความกระด้างกระเดื่องจากชนชั้นแรงงาน กระแสต่อต้านอิทธิพลจีนในท้องถิ่นประเทศต่างๆ เริ่มสูงขึ้น แม้กระทั่งตอนที่ไวรัสเริ่มระบาดในหูเป่ยและทางการจีนใช้ยาแรง ก็มีประชาชนบางส่วนไม่พอใจการแก้ปัญหาของรัฐบาล คาดการณ์ว่าหากจีนยังคุมสถานการณ์การระบาดไม่ได้ในทุกวันนี้ เราอาจจะได้เห็นสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกลางกรุงปักกิ่งอย่างปี 2532 อีกก็เป็นได้

แต่แล้วระบบการจัดการที่เข้มแข็ง ประชาชนยอมทำตามคำสั่ง ตลอดจนเทคโนโลยีที่ยอดเยี่ยม ทำให้จีนฟื้นตัวได้ก่อน เช่นเดียวกับบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือสิงคโปร์ จีนได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวนี้เป็นอย่างมาก ตั้งแต่ความเชื่อมั่นของประชาชนที่กลับมามีต่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์ ความมั่นใจว่าจีนจะไม่กลายเป็นประเทศที่จมปลักกับความตายและการป่วยไข้จนไม่กล้าที่จะคิดจะทำอะไรอื่น คนมีความเชื่อมั่นว่าวิทยาศาสตร์ การแพทย์และเทคโนโลยีเมดอินไชน่าดีเพียงพอต่ออนาคตทั้งของจีนและของโลก จีนกำลังกลับสู่แทรคของการพัฒนาตนเองให้เจริญรุดหน้าตามเดิมได้อีกครั้ง และได้โอกาสส่งต่อความคิดนี้ไปยังทั่วโลก

ขณะที่ชาติอื่น แม้แต่ชาติที่เจริญแล้วในยุโรปยังช่วยตัวเองไม่ได้ จีนก็เริ่มแผนการช่วยเหลือประเทศเหล่านั้น นับเป็นการชิงพันธมิตรมาจากสหรัฐฯ ไปในตัว  ผสานกับการปฏิบัติการข่าวสารได้อย่างดีเยี่ยม ทำให้นานาชาติชักเลื่อมใสในหมอจีน น้ำใจจีน สินค้าเวชภัณฑ์จีน นับเป็นการแก้ภาพลักษณ์เดิมที่ต่างชาติเคยมองจีนว่ารวยแต่เอาเปรียบได้เป็นอย่างดี ในยามที่ฝรั่งกำลังซวดเซ จีนสามารถแสดงความเป็นผู้นำโลกได้มากขึ้น กว่าฝรั่งจะฟื้นตัว จีนอาจฉกพันธมิตรไปหมดแล้ว หรือบางทีสหรัฐฯ กับยุโรปตะวันตกจะไม่มีทางฟื้นตัวกลับสู่จุดเดิมเลยด้วยซ้ำ เมื่อถึงตอนนั้นประเทศไหนถ้าไม่พึ่งพาจีน ก็จะแข่งขันเป็นรองจีนเสมอ

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ระบบการเมืองโลกในอนาคตที่อาจเปลี่ยนไป เมื่อปี 2561 ประธานาธิบดี Xi Jinping ออกไอเดียอนาคตของความฝันคนจีนล่าสุดคือ สังคมนิยมด้วยเอกลักษณ์จีนสำหรับยุคใหม่ “(Socialism with Chinese Characteristics for a New Era) แนวคิดนี้คือ จีนจะยึดมั่นระบอบพรรคคอมมิวนิสต์เป็นพรรคเดี่ยวชูธงนำประเทศตลอดไป เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่ประเทศจะรุ่งเรืองในยุคอนาคต หรือแปลอีกนัยนึงได้ว่าต้องปกครองกันด้วยเผด็จการแบบจีนเท่านั้นจึงจะอยู่รอด ปล่อยให้เป็นประชาธิปไตย ก็จะทะเลาะกันปัดขากันไม่จบ เสียเวลาจนไม่เจริญ ไม่แน่ว่าหลังหมดโควิดระบาดแล้ว ไอเดียแบบนี้จะกลายเป็นโมเดลของชาติอื่น ๆ ไปด้วย ท่านผู้อ่านคงเคยดูหนังไซไฟกันใช่ไหมครับ สังเกตไหมว่าโลกอนาคตในหนังแทบทุกเรื่องล้วนแต่มีรัฐเผด็จการรัฐเดี่ยวปกครองโลก เคยสงสัยกันไหมครับว่าจุดเริ่มนั้นมาจากไหน บางทีอาจมาจากไอเดียจีนนี้ก็เป็นได้