เลือกหุ้นในวิกฤติ Covid19

เลือกหุ้นในวิกฤติ Covid19

วิกฤติตลาดหุ้นนั้นเป็นทั้ง “วิกฤติ” และ “โอกาส” สำหรับนักลงทุนที่จะเข้าไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ 

 เป็นความจริงที่ว่าโอกาสนั้นมีมากและหลาย ๆ คนก็เคยลงทุนและร่ำรวยมาจากการลงทุนในยามวิกฤติที่ราคาหุ้นตกต่ำลงมาก  ซื้อหุ้นและถือยาวจนกระทั่งตลาดฟื้นและราคาหุ้นขึ้นไปมากมายจนทำให้คนถือกลายเป็นเศรษฐี  แต่ก็มีไม่น้อยที่ลงทุนซื้อหุ้นในยามวิกฤติแล้วก็  “เจ๊ง” ไปอย่างเงียบ ๆ เพราะหุ้นที่ซื้อนั้นล้มละลายหรือกิจการถูกลดทุนและถูกควบรวมกลายเป็นของเจ้าหนี้หรือคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของเดิม  ดังนั้น  การลงทุนหุ้นในยามวิกฤติจึงจำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง  ถ้าซื้อหุ้นผิดตัว  อันตรายก็มหาศาลจนอาจเป็นหายนะ  ซื้อหุ้นถูกตัวและไม่รีบขายแบบเก็งกำไร  โอกาสร่ำรวยแบบ “เปลี่ยนชีวิต” ก็เป็นไปได้

 วิธีเลือกหุ้นในยามเกิดวิกฤติโดยเฉพาะในรอบนี้ที่เกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าซึ่งทำให้ผู้คนต้องหยุดหรือเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างมากในระยะเวลาอันสั้นนั้น  ผมคิดว่าเราควรจะแบ่งหุ้นทั้งตลาดออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ที่ถูกไวรัสกระทบและดูว่าเมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วมันจะเป็นอย่างไร  ประเด็นสำคัญที่ผมอยากจะเน้นมากก็คือ  วิกฤติ Covid19 ครั้งนี้มีความแตกต่างจากวิกฤติครั้งก่อน ๆ  ที่มักจะเป็นเรื่องของการเงินอย่างมีนัยสำคัญก็คือ  มันเปลี่ยนพฤติกรรมของคนไปในทิศทางที่บางทีมันก็เปลี่ยนอยู่แล้วเพราะการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีโดยเฉพาะทางดิจิตอล  แต่วิกฤติทำให้กระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้นเร็วขึ้นมากเพียงแค่ชั่ว  “ข้ามคืน”  แทนที่จะใช้เวลาเป็น “ปี ๆ หรือสิบ ๆ ปี” หรือพูดง่าย ๆ  Disruption หรือการทำลายล้างธุรกิจนั้นเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดมาก  ซึ่งนั่นหมายความว่า  ความตกต่ำของธุรกิจบางอย่างในช่วงเวลานี้เนื่องจากผลของวิกฤติโควิด19นั้น  เมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป  ธุรกิจอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  รายได้และกำไรหลังวิกฤติอาจจะไม่กลับมาเท่าเดิมก่อนวิกฤติ  ทุกอย่างอาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  และนั่นก็หมายความว่าหุ้นตัวนั้นก็จะไม่ดีเหมือนเดิม

 หุ้นกลุ่มแรกที่ผมคิดว่าน่าสนใจและถ้าราคาหุ้นลดลงมากจากราคาก่อนวิกฤติก็คือหุ้นที่เป็น “Survivor” หรือ  “ผู้อยู่รอด” ที่มีความแข็งแกร่ง  เป็นผู้นำ  และปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในช่วงวิกฤตินี้ได้  หลังจากวิกฤติผ่านไป  กิจการจะแข็งแรงเหมือนเดิมหรือแข็งแรงขึ้น  พวกเขาจะเติบโตขึ้นอานิสงค์ส่วนหนึ่งจากการล้มหายตายจากหรือพิการจากผลของโควิด19 ของคู่แข่ง   การซื้อหุ้นเหล่านี้ในยามที่หุ้นตกลงมาแรงมากแล้วถือไว้ต่อไปยาวนานจะทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีต่อเนื่องยาวนานเป็นซุปเปอร์สต็อกได้

  หุ้นในกลุ่มนี้โดยธรรมชาติไม่ควรเป็นหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่จะถูก Disrupt อย่างง่าย ๆ  เนื่องจากเหตุผลที่ว่าผลิตภัณฑ์หลัก ๆ ของมันเป็นสิ่งที่จำเป็นและเทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนได้  มันควรจะเป็นผู้ผลิตหรือให้บริการที่มีต้นทุนต่ำที่สุดเนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่มากเทียบกับคู่แข่ง  นอกจากนั้น  มันจะต้องมีความสามารถและศักยภาพที่จะกระจายสินค้าและบริการด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับราคาของสินค้า  หรือพูดง่าย ๆ  มันไม่ถูก Disrupt ในแง่ของสินค้าและในด้านของช่องทางการค้าโดยเฉพาะ E-Commerce  เพราะมันสามารถปรับตัวเองให้สามารถค้าขายผ่านอินเตอร์เน็ตได้อย่างมีประสิทธิภาพในยามที่ทุกคนต่างก็จำเป็นต้องเข้าสู่ระบบนี้อย่างไม่มีทางเลือกในช่วงไวรัสระบาด  เหตุผลก็เพราะ   เมื่อทุกคนเริ่มคุ้นเคยกับระบบนี้เพราะความจำเป็นแล้ว  เขาก็อาจจะไม่อยากกลับไปสู่ระบบเดิมที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า  สำหรับผมแล้ว  ผมจะมองดูว่าบริษัทหรือหุ้นตัวไหนสามารถปรับตัวได้ดี  เพราะนี่จะเป็นหุ้นที่จะกลับมา  “ดีเหมือนเดิมหรือดียิ่งขึ้นไปอีกหลังวิกฤติ”

 หุ้นกลุ่มที่สองก็คือหุ้นที่ยังเอาตัวรอดได้หลังวิกฤติแต่จะไม่กลับมาดีเหมือนเดิมหรือแข็งแกร่งเหมือนเดิม  เหตุผลก็คือ  มันอาจจะเป็นกิจการที่แข็งแกร่งแต่เนื่องจากภาระเช่นหนี้ที่สูงเกินไปซึ่งทำให้มันอ่อนแอเกินกว่าที่จะสามารถปรับตัวในยามที่ยากลำบากและเกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของลูกค้าหรือผู้คนที่ทำให้กิจการหรือผลประกอบการถดถอยอย่างรุนแรง  ผลก็คือ  ในยามที่คนหยุดหรือเลิกหรือลดการใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทในช่วงวิกฤติ  เขาอาจจะหันไปหาสิ่งทดแทนที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า  และเมื่อเหตุการณ์เรื่องไวรัสผ่านไป  เขาก็ติดกับพฤติกรรมนั้นและไม่กลับมาใช้ของเดิมอีกต่อไปหรือใช้น้อยลง  ผลก็คือ  ยอดขายและกำไรของกิจการลดน้อยลงอย่างถาวรเมื่อเทียบกับช่วงก่อนวิกฤติ  ตัวอย่างที่ผมคิดก็คือเรื่องของร้านค้าปลีกและห้างสรรพสินค้าทั้งหลายที่อาจจะต้องเหนื่อยหนักถ้าคนที่หันไปใช้บริการ E-Commerce กันมากมายที่อาจจะไม่กลับมาซื้อของที่ห้างเหมือนเดิมเมื่อวิกฤติผ่านไป  เป็นต้น

 สุดท้ายก็คือหุ้นที่  “ไม่รอด” จากวิกฤติ  มันอาจจะไม่ล้มละลายก็ได้แต่ความสามารถในการดำเนินธุรกิจภายหลังวิกฤติจะถดถอยลงไปมาก  ธุรกิจถูก Disrupt ท่ามกลางภาวะวิกฤติ  ในที่สุดธุรกิจก็จะค่อย ๆ  ตายหรือแทบจะหมดค่ากลายเป็น “ตะวันตกดิน” ในที่สุด  วิธีที่จะมองหุ้นในกลุ่มนี้นั้น  นอกจากดูว่ามันถูกกระทบมากน้อยแค่ไหน  ถ้ามากสุด ๆ  เช่น อยู่ในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางท่องเที่ยวและมีการแข่งขันหนักมากในธุรกิจ  เช่น  การบินและอาจจะรวมถึงโรงแรม  แบบนี้ก็ต้องถือว่ามีโอกาสที่จะ  “ไม่รอด” ถ้าบริษัทมีหนี้สินมหาศาลและเป็นหนี้ที่จะต้องใช้คืนในเวลาอันสั้น  ในกรณีแบบนี้  ถ้าเราซื้อหุ้นแล้วเรื่องของโควิด19ไม่จบลงรวดเร็ว  ก็จะเป็นอันตรายมาก  นอกจากนั้น  ถึงแม้ว่าวิกฤติจะผ่านไปและบริษัทยังอยู่รอดได้แต่ก็เป็นไปได้ว่าธุรกิจอาจจะไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกต่อไปเนื่องจากเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนที่อาจจะลดการเดินทางหรือใช้บริการที่ Disrupt บริการเดิม เช่น  ใช้แอร์บีเอ็นบี หรือใช้วิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ผ่านอินเตอร์เน็ตแทนการประชุมเป็นต้น

   เมื่อแบ่งกลุ่มได้แล้วว่าบริษัทน่าจะอยู่กลุ่มไหนใน 3 กลุ่ม  สิ่งที่จะต้องพิจารณาต่อมาก็คือ  ราคาหุ้นที่จะสะท้อนคุณภาพของกิจการ  โดยราคาหุ้นนั้น  นอกจากจะดูโดยเปรียบเทียบกับราคาที่เป็นก่อนวิกฤติแล้ว  ควรจะดูด้วยว่ามันถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับคุณสมบัติของหุ้นที่จะเป็นหลังจากวิกฤติด้วย  แน่นอนว่าถ้าหุ้นตกลงมามาก  โอกาสที่จะซื้อหุ้นถูกก็มีมากขึ้น  โอกาสที่จะขาดทุนก็มีน้อยลง  และสำหรับคนที่ชอบเล่นเก็งกำไรก็อาจจะทำกำไรได้มากขึ้นในระยะเวลาอันสั้น  อย่างไรก็ตาม  ราคาหุ้นนั้น  ถ้าตกลงมามากแต่คิดค่า PE หรือตัวเลขอื่น ๆ  ก็ยังสูงหรือแพงมาก  แบบนี้ก็มีความเสี่ยงสูงโดยเฉพาะถ้ามันไม่ใช่หุ้นในกลุ่มที่หนึ่งที่เมื่อวิกฤติผ่านไปมันก็จะกลับมาเหมือนเดิมหรือดีขึ้นไปอีก อย่าลืมว่าหุ้นที่ PE สูงมากนั้น  บ่อยครั้งเกิดจากภาวะตลาดหุ้นที่ร้อนแรงซึ่งมักทำให้ “หุ้นเก็งกำไร” มี PE ที่สูงกว่าที่ควรจะเป็น  แต่เมื่อวิกฤติผ่านไป  หุ้นก็มักจะเหงาและหุ้นเกือบทั้งตลาดก็มักจะถูก Rerated หรือปรับค่า PE ลงมาสู่ค่าปกติที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับพื้นฐานของกิจการ

มองในแง่ของการลงทุนระยะยาวและเป็นแบบ VI แล้ว  ผมคิดว่าการลงทุนในภาวะวิกฤตินั้น  ผมจะเลือกลงทุนเฉพาะในหุ้นกลุ่มหนึ่งเท่านั้น  นั่นคือ  มันจะต้องเป็นหุ้นที่ปลอดภัยในแง่ของสถานะทางการเงินที่จะต้อง “ไม่เจ๊ง” ก่อนที่วิกฤติจะจบ  ธุรกิจจะต้องกลับมาได้เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิมหลังวิกฤติซึ่งมันก็มักจะเป็นกิจการที่แข็งแรงและโดดเด่นก่อนวิกฤติและมีผู้บริหารที่มีฝีมือและถ้าเคยผ่านวิกฤติมาได้หลายครั้งก็ยิ่งดี  นอกจากนั้น  มันก็ไม่ควรจะเจ็บหนักเกินไปเช่น  “อยู่ในศูนย์กลางของพายุ” ซึ่งอาจจะทำให้ “ตาย” ได้ ไม่ว่าจะแน่แค่ไหน  นี่ก็เพราะผมเคยอยู่ในธุรกิจเงินทุนสมัยวิกฤติต้มยำกุ้งที่บริษัทเงินทุนต้องเจ๊งกันเกือบหมดไม่ว่าจะดีเด่นแค่ไหนก็ตาม

 สุดท้ายแล้วผมก็ยังคิดว่าการลงทุนไม่ว่าในสถานการณ์ไหน  ทุกอย่างก็ต้องมีข้อยกเว้น  และก็ต้องเป็นเรื่องของศิลปะที่ต้องมีการประเมินว่าหุ้นตัวไหนคุ้มค่ามี Margin of Safety พอ  การกระจายความเสี่ยงถือหุ้นหลาย ๆ ตัวเป็นเรื่องจำเป็นเพราะความผิดพลาดโดยเฉพาะในช่วงภาวะวิกฤตินั้นมีสูงกว่าปกติ  หลังจากคิดและวิเคราะห์ทุกอย่างแล้ว  สิ่งสุดท้ายที่สำคัญและมักจะแยกแยะระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงกับนักลงทุนธรรมดาก็คือ  การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวและมั่นคงในช่วงเวลาที่เหมาะสมและไม่วอกแวกต่อสถานการณ์ที่ตามมาในช่วงสั้น ๆ ที่มักจะทำลายการตัดสินใจนั้น