จำเป็นต้องเด็ดขาดเพื่อจบวิกฤติการณ์ครั้งนี้ให้ได้โดยเร็ว
แต่ละสัปดาห์ที่ผ่านไปมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากวิกฤติไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะประเทศในซีกโลกตะวันตก ที่สหรัฐอเมริกาและอิตาลีแซงจีนขึ้นเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงที่สุดเป็นอันดับ 1-2 เรียบร้อยแล้ว โดยมีสเปน เยอรมันนี ฝรั่งเศส ตามมา
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกเราทุกวันนี้เชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวกัน ผลกระทบที่เกิดจากวิกฤติการณ์ใดในประเทศใดประเทศหนึ่งจึงพร้อมที่จะก่อให้เกิดผลกระทบกับประเทศที่อยู่ห่างไกลกันนับหมื่นกิโลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และผลกระทบนั้นก็ไม่จำกัดเพียงแค่เรื่องของโรคระบาด แต่พร้อมจะบานปลายกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในระดับโลก
ความเข้มข้นของมาตรการก็ขึ้นอยู่กับนโยบายการปกครองและบุคลิกลักษณะของแต่ละประเทศ เช่นอิตาลี สเปน ฝรั่งเศสค่อนข้างระมัดระวังเรื่องสิทธิส่วนบุคคลจึงดูเหมือนไม่เด็ดขาดเมื่อเทียบกับจีน
ขณะที่สถานการณ์โดยรวมของบ้านเราถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์เฝ้าระวัง ซึ่งคงต้องหามาตรการต่อไป เพื่อจะควบคุมวิกฤติการณ์ดังกล่าวให้ได้เช่นเดียวกับเกาหลีใต้ ที่สามารถรับมือได้โดยไม่ต้องปิดเมือง ซึ่งประเทศไทยก็จำเป็นต้องเลือกว่าจะใช้แนวทางใดในการรับมือกับปัญหาเพื่อให้กระทบกับประชาชนน้อยที่สุด
มาตรการต่างๆ ที่ภาครัฐทยอยประกาศใช้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีความเด็ดขาดเพื่อจบวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ให้ได้โดยเร็ว เพราะภาคธุรกิจโดยเฉพาะเอสเอ็มอีทั่วไปน่าจะมีเงินสดเพียงพอต่อการดำเนินงานได้เพียงไม่ถึง 1 เดือนเท่านั้น ตัวอย่างจากหลายๆ ประเทศทำให้เราเห็นว่า นอกเหนือจากการร่วมมือให้ประชนชนอยู่ในบ้านเพื่อจำกัดการแพร่เชื้อแล้ว ยังมีอีกหลายแนวทางที่ทำให้ภาครัฐจัดการปัญหาได้รวดเร็วและเด็ดขาดเพิ่มขึ้น
เช่นการเพิ่มชุดตรวจการติดเชื้อให้ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ, การให้บริการตรวจเชื้อโควิดแบบ “ไดรฟ์ทรู” ซึ่งควรเน้นให้มีการผลิตและกระจายไปให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้นด้วยราคาที่ไม่สูงมากนัก หรือจะเป็นการดีอย่างยิ่งหากภาครัฐให้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการผลิตเช่นประเทศอื่นๆ
ต่อมาคือการใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อติดตามตัวกลุ่มเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อ จากกรณีของผู้ติดเชื้อจากสนามมวยและสถานบันเทิงที่ทำให้เห็นว่าหากมีการติดตามที่ดีก็จะลดการแพร่เชื้อลงได้จำนวนมาก
ข้อสุดท้ายคือการให้ความรู้กับประชาชนให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น แม้วันนี้จะมองเห็นความตื่นตัวของคนในเมืองใหญ่ แต่ต้องยอมรับว่าในพื้นที่ห่างไกลโดยเฉพาะในชนบทยังไม่มีความตื่นตัวที่จะป้องกันตนเองเท่ากับคนในเมือง เพราะข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นยังไปไม่ถึงพวกเขา
โดยเฉพาะคนหนุ่มคนสาวจำนวนมากที่รู้สึกว่าสถานการณ์นี้เป็นเรื่องไกลตัว จึงไม่ระมัดระวังในการใช้ชีวิตและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อโดยไม่จำเป็น สุดท้ายจึงกลับไปติดผู้สูงอายุในครอบครัวซึ่งทำให้โรคกระจายเพิ่มขึ้นในต่างจังหวัด เช่นเดียวกับคนบางกลุ่ม อย่างกรณีสนามมวยและสถานบันเทิงที่เห็นได้ชัดเจนว่าจิตสำนึกต่อส่วนรวมและความตระหนักรู้ของคนไทยยังน้อยเกินไป
ขณะเดียวกันภาครัฐก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องคิดถึงผลที่เกิดขึ้นจากมาตรการต่างๆ ที่เข้มงวดมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมที่มุ่งปิดสถานบันเทิงและพื้นที่เสี่ยงต่างๆ อาจมีผู้ได้รับผลกระทบในหลักแสนคน แต่เมื่อขยายถึงห้างสรรพสินค้าและธุรกิจจำนวนมาก นั่นหมายถึงจำนวนผู้ได้รับผลกระทบหลายล้านคนทั่วประเทศ
ที่สำคัญคือยังไม่รู้ว่าจะกลับมาดำเนินธุรกิจเป็นปกติได้เมื่อใด ความอยู่รอดของธุรกิจและเจ้าของกิจการ ลูกจ้าง พนักงานเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ต้องคิดให้รอบคอบ แม้จะมีเงินช่วยเหลือจากรัฐแต่เมื่อเทียบกับภาระที่แต่ละครอบครัวต้องแบกรับถือว่าพอเพียงหรือไม่
เพราะแต่ละครอบครัวไม่ได้ต้องการเพียงแค่ค่าเลี้ยงชีพเพื่ออาหารสามมื้อในแต่ละวัน แต่ยังมีค่าเช่าบ้าน หรือค่าใช้จ่ายในการผ่อนส่งรถยนต์ จักรยานยนต์ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นผลสะท้อนไปยังธุรกิจต่างๆ เช่นอสังหาริมทรัพย์ สถาบันการเงิน เป็นลูกโซ่ไป
หากยังไม่มีมาตรการความช่วยเหลือที่คิดให้ครบทุกมิติ ระบบนิเวศทางธุรกิจของไทยอาจต้องถูกสึนามิทางเศรษฐกิจลูกใหญ่ซัดเข้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงปลายไตรมาสสองหรือไตรมาสสามของปีนี้ เมื่อปัญหาทุกอย่างประดังเข้ามาพร้อมๆ กัน
ไม่น่าแปลกใจที่ทุกวันนี้เราจะมีผู้คนจำนวนมากที่เฝ้าเสพข่าวสารเรื่องโควิด-19 กันแบบนาทีต่อนาที จนเกิดความวิตกกังวลเกินความจำเป็น จนทุกวันนี้คนไทยเครียดจากการเสพข่าวสารมากเกินไปทั้งๆ ที่จริงแล้วเราต้องการเพียงแค่มาตรการที่คิดอย่างรอบด้านเท่านั้น