จิตตื่นรู้ จิตสร้างโลกใหม่เพื่อมนุษยชาติ

จิตตื่นรู้ จิตสร้างโลกใหม่เพื่อมนุษยชาติ

หากทบทวนจิตของปัจเจกบุคคล ว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร หรืออาจเลื่อนขึ้นสุดกว่านั้น เราเกิดมาทำไม

จะทำอย่างไรให้ชีวิตดีและพัฒนาขึ้น หรือหันไปทบทวนจิตสังคม ทำไมบ้านเมือง เศรษฐกิจ ประเทศจึงมายืนอยู่ ณ จุดข้าวยากหมากแพงความเดือดร้อนได้กระทบมีแนวโน้มวิกฤติอย่างที่เป็นอยู่และได้ทวีเพิ่มขึ้นอยู่นี้เป็นเพราะอะไร และจะเป็นอย่างไร ตามปกติแล้วเรามีชีวิตในแต่ละวันได้ประสบสัมผัสกับสิ่งที่น่าปรารถนาบ้าง ไม่พึงปรารถนาบ้างซึ่งเป็นอาการขึ้นลงของอารมณ์ที่กระทบจิตในแต่ละวันๆ เมื่อจิตขาดการตระหนักรู้ จึงตื่นตามประสาทสัมผัสที่ถูกกระตุ้นแต่ไม่ทันได้รู้ จึงทำให้ตื่นตัวไหลตามอารมณ์ของตนและพัฒนาเป็นอารมณ์ร่วมแห่งสังคม นั่นเป็นอาการตื่นตัวแต่จิตขาดการรู้สำนึก(ตื่นรู้) 

หากมาดูคำว่า "ตื่น" จะพบว่า เราตื่นตัวด้านกายภาพจากการหลับนอนพักกายเป็นแบบนี้ตลอดชีวิต แต่ด้านจิตใจมักมีอาการหลงใหลอยู่ในโลกของความคิดความฝัน สร้างจินตนาการปรุงแต่งขึ้นจากสัมผัสโลกภายนอก เมื่อนานวันเข้าเกิดการหลงติดภาพที่สร้างขึ้นมานั้นได้กักขังเราและหลอกตัวเราตลอดเวลา อาการเหล่านี้เป็นอาการของจิตที่หลงจนติด มีอาการเพลิดเพลินไปกับโลกภายนอกตามอารมณ์สุขและทุกข์ทั้งหลายที่กระทบจิตในแต่ละวันๆ 

หากจะขยายความให้ชัดจะเห็นว่า การที่จิตหลงในจินตนาการ (การคิดปรุงแต่ง) หรือในชุดความคิด (ความคิดสร้างโลก) เปรียบเสมือนเราสวมใส่แว่นตาดำ ทำให้เรามองโลก มองชีวิต ไม่ตรงตามสภาวะความจริง ตามอาการของสภาวะจิตที่ถูกปรุงแต่งรวมร่างสร้างตัวเป็นอัตตา หากกล่าวในวงกว้างว่า ฐานคิดของมนุษย์นำพามนุษย์พัฒนาพร้อมความหายนะสู่สังคมโลก จุดเล็กสุดคนแต่ละคนมองชีวิต นำชีวิตที่พร่ามัวจะหาทางออกอย่างไร คำถามเหล่านี้ล้วนเปิดจิตให้ตระหนัก นำไปสู่การตื่นของจิต นำไปสู่การนำพาชีวิต และสังคมออกจากจุดมืดได้

จิตของมนุษย์เปรียบกับถ้วยที่กำลังควํ่า ครอบหรือปิด คนเหล่านั้นย่อมเป็นคนคับแคบเอาความเห็นแก่ตัวเป็นที่ตั้ง ก่อให้เกิดอาการโง่เขลาขาดปัญญา ไม่ได้หมายถึงไม่มีปัญญา แต่หมายถึงหลงติดในตัวรู้จนยึดติดว่ารู้ ทั้งที่ชุดความรู้บางอย่างเป็นปัจจัยเร่งให้สังคมโลกเดินหาความจุดใกล้สงครามการค้าสงครามการเมือง เป็นต้นประหนึ่งกบที่อยู่ในกะลาครอบแล้วคิดว่ากะลา คือ โลกทั้งใบของมันนั่นเอง 

ในทางตรงกันข้ามหากหงายถ้วยขึ้นมาสภาวะหงายคือการเปิดกว้างผู้คนที่อยู่ในสภาวะนี้จึงเห็นกว้างคิดกว้างหลุดพ้นจากความบีบคั้นเป็นอิสระจากตัวตนอันคับแคบจึงเชื่อมโยงได้กว้างขวางยาวไกลสามารถสัมผัสกับธรรมชาติได้ตามความเป็นจริงทำให้มีปัญญานำพาจิตแห่งตนและจิตสังคมออกจากภาวะพร่ามัว หรือจุดเสี่ยงได้

อาการจิตเกิดใหม่ตื่นรู้

จิตตื่นรู้เปรียบเหมือนมีแสงสว่างเกิดขึ้น หรือเราถอดแว่นตาดำออก เราจึงเริ่มรู้สึกตัวเริ่มมองเห็นสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ตรงตามความเป็นจริง เห็นโลกทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมตามความเป็นจริงและยอมรับโลกตามธรรมชาติ ออกจากความโง่เขลาและความไม่รู้ (อวิชชา)สภาวะของจิตกลับไปสู่ความบริสุทธิ์ รู้ตื่นและเบิกบานอันเป็นสภาวะเดิมในความเป็นจริงมนุษย์เราจะเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนท่าทีของจิตครั้งแรกตอนเกิดจากท้องมารดาลืมตาเห็นโลการู้เห็นโลกรอบตัวครั้งที่สองเมื่อตาภายใน(สติ) มีคุณภาพ ทำหน้าที่ร่วมกับจิตเพ่งดูอาการของจิต(จิตดูจิต) หรือกล่าวอย่างง่ายคือการสำรวจตน ทบทวนตนป้องกันการการหักเหจากความดี ความงาม พร้อมนำพาตนด้วยการตื่นตัว(ไม่ประมาท) 

การตื่นรู้เป็นธาตุแท้ที่ติดตัวมนุษย์เกิดมาบนโลกใบนี้ แต่ความไม่รู้ หรือหลงติดว่ารู้ปิดบังอำพรางมนุษย์เราจากหนทางการตื่นรู้ เราท่านจึงหลงหาอิสรภาพแห่งจิตไม่พบจึงวนอยู่ ณ ที่เดิม

นอกจากการไม่ตื่นรู้แล้ว บางครั้งกิจกรรมของมนุษย์คอยเสริมส่งให้เราหลง และเหนี่ยวรั้งให้ติด แต่ก็ยังหลงว่า เป็นผู้รู้ และที่สำคัญสิ่งที่เรียกว่า ตัวรู้ หรือความรู้นั้นกลับสนับสนุนมนุษย์ให้หลง และแปลงความรู้นั้นให้มนุษย์หลงติดไม่รู้ว่าตื่นรู้คืออะไร ไม่รู้ว่าทำไมต้องตื่นรู้ ไม่รู้ว่าทางไหนหรือด้วยวิธีใดคือหนทางสู่การตื่นรู้  ทั้งหมดทั้งมวลเป็นความรู้ในความไม่รู้ หลงในชีวิต หลงในกิจกรรมแห่งชีวิต กล่าวคือหลงในจุดหมายของชีวิต ตลอดจนจุดหมายของการพัฒนาตน พัฒนาประเทศ นับวันมนุษย์ออกจากจุดหมายที่เป็นสาระของชีวิต 

เมื่อมนุษย์สร้างและขับเคลื่อนโลกด้วยความหลงในอำนาจ อยากได้ อยากมีที่ติดตัวมนุษย์แต่กำเนิด และได้เร่งค้นสรรพวิชาเพื่อมาสนองความอยากได้ อยากมี จนสามารถครอบครองโลกใบนี้และขับเคลื่อนโลกใบนี้ด้วยจินตนาการ และอหังการว่าข้าต้องได้ ต้องมี ต้องเป็นฐานคิดนี้เป็นฐานที่นำพาพัฒนาโลกมนุษย์สู่ยุคที่ทันสมัยสุดๆ ซึ่งเป็นความทันสมัยและล้ำสมัยด้วยจิตที่หลงว่ารู้ ความเป็นไปของโลก (โลกีย์) เป็นวิสัยของมนุษย์ขับเคลื่อนหรือพัฒนาสู่แนวโน้มหายนะ ทั้งกระแสเศรษฐกิจ การเมือง ทั้งระดับโลกและท้องถิ่น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงวนอยู่ และจมกับการพัฒนาที่ไม่พัฒนา 

ทั้งนี้เป็นเพราะเราขับเคลื่อนโลกตามวิสัยของจิตมนุษย์ที่หลงตนในความเป็นจริงแล้วเราแต่ละคนมีธรรมชาติของความเป็นพุทธะ หรือพระเจ้า หรือจิตดวงใหญ่ ตามแต่จะกล่าวนั่นคือธาตุรู้มีอยู่ในตัวเราทุกคน หากแต่ไม่ตื่นขาดความเบิกบานเป็นเพราะจิตหลงติดถูกบดบังธรรมชาติที่แท้จริงของเรา

โดย...

ผศ.ดร.ชมพู โกติรัมย์

[email protected]