Fintech เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

Fintech เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย

ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส ในวันที่โลกต้องเจอกับ COVID-19

'ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส' ประโยคนี้มีจริงหรือไม่? ในวันที่โลกของเราต้องเจอกับ COVID-19 นานาประเทศต่างมีแผนการรับมือที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้เลยคือการหยุดกิจการของภาคบริการ หรือการปลดพนักงานของ SMEs ที่ต้องทำเพื่อการอยู่รอด ส่งผลให้ผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบไปแบบเต็ม ๆ

ตามหลักการบริการการเงินส่วนบุคคลนั้น เราควรมีเงินฝากธนาคารหรือเงินลงทุนระยะสั้น ให้เพียงพอกับการใช้จ่ายในเวลา 6 เดือน เพื่อเป็นที่พึ่งหลักในช่วงเวลาที่เรากำลังหางานใหม่ แต่ในความเป็นจริงนั้น ผมเชื่อว่ามีคนไม่มากนักที่เตรียมเงินก้อนดังกล่าวไว้เพียงพอ ในทางกลับกัน หลายคนกลับมีภาระหนี้ที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากรายได้โตไม่ทันค่าครองชีพ จนสามารถสรุปได้ว่า 'ทุกวิกฤติย่อมทำให้คนจนยิ่งจนลงไปอีก'

สำหรับกลุ่มผู้ที่มีรายได้สูงและสามารถสะสมความมั่งคั่งจนมาอยู่ในจุดสูงสุด 1% แรกของประเทศได้นั้น ทุกครั้งที่เกิดวิกฤติจะเป็นโอกาสในการช้อนซื้อสินทรัพย์ที่ถูกเทขายออกมาจนราคาถูกมากเกินความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการช้อนซื้อหุ้นของบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานดี การซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ซึ่งเจ้าของเก่าจำเป็นต้องขายอย่างเร่งด่วน รวมทั้งการซื้อกิจการที่อนาคตดีแต่ขาดเงินทุนหมุนเวียนในยามวิกฤต เมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป ผู้ลงลงทุนกลุ่มนี้มักจะได้รับผลตอบแทนที่สูง จนทำให้คนที่รวยที่สุด 1% แรกของไทยนั้น ถือครองความมั่งคั่งถึงประมาณ 67% (ข้อมูลจาก Credit Suisse Global Wealth Report) จึงสรุปได้ว่า 'ทุกวิกฤติย่อมทำให้คนรวยยิ่งรวยขึ้นไปอีก'

เศรษฐีระดับโลกซึ่งมีความตั้งใจในเรื่องการทำการกุศล อย่างเช่น Bill Gates และ Warren Buffet นั้น มักบริจาคเงินส่วนตัวเพื่อการกุศลอย่างต่อเนื่อง และมีการก่อตั้งองค์กรที่ชื่อว่า The Giving Pledge เพื่อให้คนที่มีความมั่งคั่งตั้งแต่ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไป สามารถเข้าร่วมโดยมีความตั้งใจที่จะบริจาคอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของความมั่งคั่งทั้งหมด ให้กับการกุศลในรูปแบบใดก็ได้ โดยปัจจุบันมีเศรษฐีจำนวน 208 คน จาก 23 ประเทศ เข้าร่วมกับองค์กรนี้ … ซึ่งยังไม่มีคนไทยเลย

แนวคิดด้าน Fintech ของผมที่อยากจะช่วยลดความเลื่อมล้ำในไทยบ้าง คือการเปิดโอกาสให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจดทะเบียนและผู้ลงทุนรายใหญ่ สามารถบริจาคผ่านทาง Mobile Application โดยใช้หุ้น ไม่ต้องใช้เงินสด จากนั้น Algo Trading Model ซึ่งคำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานและสภาวะตลาด จะเป็นตัวช่วยบริหารจังหวะการซื้อขายของหุ้นแต่ละตัว เพื่อสร้างผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับการถือครองหุ้นแบบระยะยาว และในทุกปีระบบจะนำเงิน 5% ของมูลค่าพอร์ตทั้งหมดไปทำการกุศล วิธีนี้จะทำให้สามารถมีเงินออกมามากขึ้นทุกปีหากผลตอบแทนทำให้สูงกว่า 5% (ได้แรงบันดาลใจมาจาก Warren Buffet ซึ่งใช้วิธีคล้ายกันนี้กับหุ้น Berkshire Hathaway)

จากนั้น ระบบจะใช้กลไก Crowdfunding ทั้งในรูปแบบของ Donation / Debt / Equity เพื่อจัดสรรเงิน 5% ที่ได้ออกมาในทุกปีอย่างมีประสิทธิภาพ มาให้กับสังคมและผู้ที่ต้องการโอกาสเพื่อสร้างอนาคต โดยผมจะขอพูดรายละเอียดส่วนที่เหลือในตอนถัดไปนะครับ และนี่คือโอกาสสำหรับทุกคนในการเสนอแนวคิดในช่วงวิกฤตินี้ เพื่อช่วยกันลดความเหลื่อมล้ำครับ … 'ทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส'