กำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1 หลัง COVID-19

กำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1 หลัง COVID-19

ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เริ่มทวีความรุนแรงขึ่นเรื่อยๆ ในทุกภูมิภาคของโลก

 ในประเทศไทยเอง จำนวนผู้ติดเชื้อเริ่มเพิ่มขึ้นทวีคูณในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา 

ทุกประเทศทั่วโลกเริ่มรณรงค์ให้ประชาชนดำเนินชีวิตแบบ Social Distancing โดยให้อยู่ที่บ้าน ไม่เดินทาง และไม่พบปะผู้คนหากไม่จำเป็น และบางประเทศได้มีการปิดประเทศอย่างสิ้นเชิง รวมถึงห้ามพลเรือนออกมานอกที่อยู่อาศัยอีกด้วย ในส่วนของประเทศไทยนั้น เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2020 รัฐบาลได้ประกาศปิดสถานที่เสี่ยงได้แก่ สถาบันการศึกษา โรงหนัง ร้านนวด และสถานบันเทิงทุกแห่ง เป็นเวลา 14 วัน พร้อมทั้งเลื่อนวันหยุดสงกรานต์ 13-15 เมษายนออกไป ทว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้น ในวันที่ 22 มีนาคม 2020 กทม. จึงมีประกาศปิดห้างสรรพสินค้า ร้านเสริมสวย สนามกอล์ฟ สนามกีฬา และอื่นๆ อีก 26 รายการ คงเหลือแต่เพียงซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา และร้านอาหารสำหรับการซื้อกลับไปรับประทานที่บ้านเท่านั้น เป็นเวลา 22 วัน จนถึงวันที่ 12 เมษายน นอกจากนี้ ในวันที่ 19 มีนาคม ทางสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้เริ่มบังคับระเบียบใหม่ โดยให้ผู้โดยสารชาวต่างชาติที่ประสงค์จะเดินทางเข้าประเทศไทย ต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ออกมาแล้วไม่เกิน 72 ชั่วโมงว่ามีการตรวจไม่พบเชื้อไวรัส COVID-19 พร้อมทั้งมีกรมธรรม์ประกันภัยที่คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลไม่ต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์ เสมือนเป็นการปิดประเทศทางอ้อม เนื่องจากในเวลานี้ ไม่ง่ายนักสำหรับผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง หรือไม่มีอาการผิดปรกติจะได้รับการตรวจหาเชื้อเพื่อขอใบรับรองแพทย์

มาตรการเพื่อชะลอการแพร่กระจายเชื้อไวรัสเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจมหาศาล กลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางระหว่างประเทศและการท่องเที่ยว คาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวในประเทศไทยจะหดตัวอย่างรุนแรง จากระดับปรกติ 40 ล้านคนต่อปี เหลือเพียง 15 -20 ล้านคนในปีนี้ หรือลดลงกว่าครึ่ง จากการหยุดการเดินทางระหว่างประเทศที่ไม่จำเป็นเกือบทั้งหมด ธุรกิจสายการบิน จะเป็นธุรกิจแรกที่เผชิญกับความกดดัน เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีระดับการกู้ยืมสูง และมีค่าใช้จ่ายคงที่สูง เช่นเดียวกับธุรกิจโรงแรม ที่แทบไม่มีรายได้เมื่อห้องว่างลง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายก็ไม่สามารถลดได้มากนัก ดังนั้น หุ้นในกลุ่มนี้จึงน่าจะมีผลประกอบการขาดทุนในไตรมาส 1 นี้

กลุ่มพลังงาน เป็นกลุ่มถัดมาที่ได้รับผลกระทบจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หยุดลง การใช้พลังงานย่อมลดน้อยลงไปด้วย โดยเฉพาะน้ำมันที่ใช้ในเครื่องบิน อีกทั้งในฝั่ง Supply ยังมีปัญหาความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม OPEC และประเทศรัสเซีย ที่ไม่ยอมที่จะลดกำลังการผลิตเพื่อพยุงราคาน้ำมัน ทำให้ซาอุดิอาระเบียประกาศเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาดแทนการใช้ราคา ราคาน้ำมันดิบจึงปรับลดลงอย่างรวดเร็วกว่า 20 เหรียญในเวลาเพียง 1 เดือน ในปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบ WTI อยู่ในระดับ 22 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล หรือลดลงกว่า 60% เมื่อเทียบปีที่แล้ว ดังนั้น บริษัทที่เกี่ยวข้องกับพลังงานและปิโตรเคมี จึงจะมีการบันทึกขาดทุนสต็อกน้ำมันในระดับสูงในไตรมาส 1 นี้ และเป็นที่แน่นอนว่าผลประกอบการจะติดลบ yoy ในไตรมาสนี้

และกลุ่มที่ได้รับผลกระทบหนัก คงหนีไม่พ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากเป็นผู้ปล่อยสินเชื่อให้แก่บริษัทในหลายภาคธุรกิจ รวมไปถึงสินเชื่อ SMEs และสินเชื่อบุคคล เมื่อกลุ่มลูกค้าธนาคารได้รับผลกระทบ ธนาคารย่อมได้รับผลกระทบไปด้วย แม้ว่าธนาคารจะมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ โดยการลดภาระการผ่อนชำระ และการหยุดพักชำระดอกเบี้ย แต่ด้วยคุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอยลงไป จะต้องกดดันให้ธนาคารพาณิชย์ต้องตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญมากขึ้น ส่วนในฝั่งรายได้ การเติบโตของสินเชื่อมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากธุรกิจไม่มีการลงทุน รวมถึงธนาคารเองย่อมระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาลง และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีกจากปัจจุบัน หลังจากในวันที่ 20 มีนาคม ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายฉุกเฉินลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 0.75% ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ กำไรของธนาคารพาณิชย์ในปีนี้จึงมีแนวโน้มหดตัวค่อนข้างมาก และอาจฟื้นช้ากว่ากลุ่มธุรกิจอื่น

นอกจากนี้ ธุรกิจอื่นๆ ยังได้รับผลกระทบทางอ้อม จากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง และกำลังซื้อที่ถดถอย ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ที่การเปิดตัวโครงการใหม่ต้องชะลอตัว รวมถึงมีความเสี่ยงการผิดนัดโอน กลุ่มค้าปลีก ที่แม้รัฐบาลจะยังอนุญาตให้เปิดทำการได้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ยอดขายเติบโตเป็นบวกได้ในปีนี้ มีเพียงกลุ่มสื่อสารที่ได้รับผลกระทบทางบวก จากการใช้งาน Data ที่มากขึ้น ทั้งจากการทำงานที่บ้านและการเสพสื่อบันเทิง แทนการออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน

ในการประเมินเบื้องต้น คาดว่า กำไรต่อหุ้นของ SET ในปีนี้ จะลดลงเหลือ 70 บาทต่อหุ้น หรือลดลง 22% จากปี 2019 และมีแนวโน้มที่จะลดลงอีก หากสถานการณ์ยังยืดเยื้อต่อเนื่อง ซึ่งกำไรของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 1 ที่จะทยอยออกมาในช่วงหนึ่งเดือนข้างหน้า จะทำให้สามารถประเมินได้ชัดขึ้นว่าผลกระทบจาก COVID-19 ครั้งนี้รุนแรงเพียงใด และจุดใดเป็นจุดที่เหมาะสมในการเข้าซื้อหุ้นในวิกฤติรอบนี้ครับ