การมีมาตรการที่ดีรองรับจะทำให้ปัญหาลดความรุนแรงลง
ผ่านมา 3 วันกับมาตรการปิดสถานที่เสี่ยงเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งก่อให้เกิดความโกลาหลพอสมควรนับตั้งแต่วันแถลงการณ์ เพราะดูเหมือนรัฐบาลและผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานครไม่ได้สื่อสารกันให้ดีเท่าที่ควรจนเกิดความสับสนขึ้น
ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการออกมาตรการต่างๆ เพื่อจัดการปัญหาโควิด-19 ถือเป็นเรื่องสำคัญและประชาชนเข้าใจปัญหาเป็นอย่างดี เพราะมีตัวอย่างจากหลายๆ ประเทศที่ไม่มีมาตรการเข้มข้นเพียงพอ เช่นอิตาลี ที่จำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึงกว่า 5,500 คนแซงหน้าประเทศจีนไปแล้ว
ประชาชนคนไทยจึงเข้าใจดีว่าเราจำเป็นต้องคุมเข้มเพื่อหาทางชะลอการติดเชื้อโรคนี้ให้สำเร็จ เพราะที่ผ่านมาความหย่อนยานและไม่ตระหนักในการดูแลตัวเองของคนบางกลุ่มก่อให้เกิดการติดเชื้อเป็นวงกว้าง นับตั้งแต่กรณีการติดเชื้อในสถานบันเทิงและสนามมวยซึ่งทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อของไทยพุ่งสูงกว่า 500 คนทันที
การกำหนดมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลและกรุงเทพมหานครจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ทั้งนี้หน่วยราชการทั้งหมดควรมีการหารือร่วมกันอย่างเป็นระบบ และต้องคิดถึงผลกระทบอย่างรอบด้านกว่านี้ เพราะปิดสถานที่เสี่ยงหลายๆ แห่งลงย่อมมีผลกระทบตามมามากมาย
แต่ละมาตรการล้วนเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนมาก การมองปัญหาจึงมุ่งแต่เฉพาะเรื่องทางสาธารณสุขคือการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเดียวไม่ได้ เพราะยังมีมิติทางด้านเศรษฐกิจที่ต้องคำนึงถึง
เช่นสถานที่ที่ถูกสั่งปิดมีคนทำงานที่หาเลี้ยงครอบครัวอยู่ จะให้เขาได้รับผลประทบน้อยที่สุดได้อย่างไร ธุรกิจที่ปิดไปจะมีรายได้จากทางใดทดแทนหรือชดเชย ขณะที่แรงงานที่ทำงานอยู่เมื่อไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้แล้วจะทำอย่างไร โดยเฉพาะแรงงานต่างจังหวัดซึ่งก็คงต้องกลับภูมิลำเนา
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว ภาครัฐจะมีมาตรการเยียวยาใดๆ ให้กับแรงงานกลุ่มนี้บ้าง เพราะยังคงมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต ไม่ว่าจะเป็นค่ากิน-อยู่ ค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ทั้งหมดนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการประสานงานของหลายๆ หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และรวมถึงผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เพื่อลดความกังวล ความสับสน และมีคำตอบให้กับสังคมอย่างชัดเจนที่สุด
แม้วิกฤติโควิด-19 จะเป็นปัญหาเรื่องสาธารณสุขโดยตรง แต่ความรุนแรงที่เกิดจากวิกฤติการณ์ครั้งนี้ส่งผลเป็นวงกว้าง และกระทบถึงทุกธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรม ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อภาวะเศรษฐกิจ เพราะนี่คือฐานรายได้จากภาษีก้อนใหญ่ที่ใช้หล่อเลี้ยงประเทศ
เมื่อการทำมาค้าขายหยุดชะงัก กระแสการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจก็ย่อมหดหายไปจากระบบ การมีมาตรการที่ดีรองรับจะทำให้ปัญหาต่างลดความรุนแรงลง เพราะไม่มีประโยชน์อะไรหากเราผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปได้ แต่ต้องมาเจอความล่มสลายทางเศรษฐกิจในปลายทางข้างหน้า
มาตรการที่ประกาศออกมาในครั้งนี้จึงน่าจะช่วยให้บ้านเราผ่านพ้นการระบาดครั้งใหญ่เหมือนที่เกิดในหลายๆ ประเทศไปได้สำเร็จ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะบุคลากรทางด้านสาธารณสุขของเราที่มีประสิทธิภาพไม่แพ้ใคร ทำให้เราจัดการปัญหาได้ดีนับตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อปลายปีที่แล้ว
แต่จะดียิ่งขึ้นหากเรามีแผนการทางด้านเศรษฐกิจและสังคมรองรับ เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจกำลังสร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กหรือเอสเอ็มอีที่ไม่สามารถรับมือกับวิกฤติการณ์ในครั้งนี้ได้อย่างแน่นอน
จากการสำรวจธุรกิจเอสเอ็มอีของ JPMorgan Chase พบว่าบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กเหล่านี้ในสหรัฐเพียงครึ่งหนึ่งมีเม็ดเงินที่พอจะดำเนินธุรกิจต่อไปได้เพียง 27 วันเท่านั้นหากขาดเงินหมุนเวียนจากธุรกิจตามปกติ
ขณะที่อีกครึ่งหนึ่งจากบริษัทที่ทำการสำรวจคือ 579,000 บริษัทนั้นไม่สามารถอยู่ได้ถึง 27 วันเพราะรายจ่ายประจำทั้งค่าเช่าสำนักงาน เงินเดือน ฯลฯ ทำให้เงินหมุนเวียนหมดลงอย่างรวดเร็วหากไม่มีรายได้เข้ามาป้อนตามปกติ
สำหรับประเทศไทยก็ไม่น่าจะแตกต่างกันนัก เพราะธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วโลกล้วนอยู่ได้ด้วยเงินหมุนเวียนระยะสั้นด้วยกันทั้งนั้น การมีมาตรการรองรับปัญหาดังกล่าวจึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องรีบจัดการนอกเหนือจากเรื่องการป้องกันผู้ติดเชื้อ