สาระพันเรื่องของโควิด-19

สาระพันเรื่องของโควิด-19

คนไทยหายใจเข้าออกอย่างหวาดหวั่นโควิด-19 จนการระบาดของเชื้อโรคกลายเป็นการระบาดของความกลัวไปแล้ว ดูเหมือนว่าอันตรายจากเชื้อโควิด-19

ซึ่งมาจากข่าวลือและข่าวลวงสร้างความเสียหายแก่สังคมมากกว่าอันตรายจากเชื้อไวรัส

วันนี้ลองเอาสาระพันเรื่องแต่สำคัญจากการระบาดเชื้อโควิด-19 ที่ไม่ค่อยมีคนพูดถึงกันนักมาเล่าสู่กันฟัง

(1)โควิด-19เป็นไวรัสในตระกูล Corona ซึ่งก่อให้เกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ในอันดับ 7 สำหรับอันดับที่ 1 ถึง 4 นั้นเป็นโรคไข้หวัดธรรมดา อันดับที่ 5 คือSARS(ระบาดในปี 2546) อันดับ 6 คือMERS (ระบาดในปี 2555) อันดับ 5 มีอัตราการตายจากการติดเชื้อประมาณ 9-10% ส่วนอันดับ 6. 30-50%  ส่วนอันดับ 7 นั้นปัจจุบันอยู่ประมาณต่ำกว่า 2%

158494684192

การระบาดของเชื้อโรคตระกูลนี้ในหมู่มนุษย์เป็นที่คาดการณ์กันมานานแล้ว ดังนั้นจึงมีการศึกษาในระดับนานาชาติอย่างกว้างขวางมากจนทำให้เพียง 7 วัน หลังกรณีแรกในจีนเมื่อ 31 ธ.ค.2562 ก็รู้แล้วว่าเป็นไวรัสตัวใด และพอ 10 ม.ค. ก็รู้รหัสพันธุกรรมของมันและรู้ด้วยซ้ำว่ามันเริ่มเป็นเชื้อใหม่ที่ติดต่อระหว่างมนุษย์ได้ประมาณปลายพ.ย.ถึง ต้น ธ.ค.2562 และ 13 ม.ค.2563 ก็มี test ที่ตรวจสอบเชื้อนี้ได้แล้ว

ข้อมูลการเจ็บป่วยจำนวนมากที่ได้จากจีนทำให้มีผู้วิจัยทั่วโลกมากมาย หลังจาก โควิด-19 ระบาดได้ 1 เดือนก็มีบทความวิชาการเกี่ยวกับโควิด-19 ออกมา 164 บทความ เขียนโดย 700 คน ศึกษาเกือบทุกลักษณะของโรค (ตอนSARSระบาดนั้นกว่าจะมีบทความเพียงครึ่งเดียวของจำนวนนี้ก็ใช้เวลากว่า 1 ปี)

สิ่งที่พบก็คือในจำนวนของคนที่ติดเชื้อโควิด-19 มี 80% ที่ไม่มีอาการรุนแรงหรืออาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำโดยมีอาการคล้ายไข้หวัด 15% ปรากฏอาการของนิวโมเนีย (ปัญหาระบบการหายใจ) และ 5% มีความรุนแรง (ในส่วนนี้ 2% ที่ตาย) ที่พูดกันว่าเนื้อปอดถูกทำลายเพราะโรคนี้นั้นคือส่วนหนึ่งของพวก 5% นี้

จากตัวเลขนี้ สิ่งที่น่ากลัวคือหากติดเชื้อจะตกลงใน “พวก 80% ” หรือ “พวก 20%” ถ้ามีสุขภาพปกติ ไม่มีโรคประจำตัวที่ร้ายแรง ดูแลตัวเองดี กินอาหาร พักผ่อนเพียงพอ มีโอกาสสูงที่จะไม่เป็นเลย (ทั้งโลกที่มีประชากร 7 พันล้านคน มีคนติดเชื้อในปัจจุบันประมาณ 2 แสนคนเศษ ตาย 9,000 คน ; ประเทศไทยมีประชากร 67 ล้านคน ติดเชื้อ 272 คน ตาย 1 คน) หรือหากเป็นก็จะตกอยู่ใน “ประเภท 80%”

(2) ความกลัวอย่างมีเหตุมีผลเป็นลักษณะสำคัญของผู้มีปัญญาเช่นเดียวกับการสดับตรับฟังข่าวลือและข่าวลวงอย่างฉลาด และการไม่สร้างข่าวลือ ข่าวลวง พูดอะไรที่สร้างสรรค์มีประโยชน์ต่อสังคมก็เป็นลักษณะของผู้มีคุณธรรมด้วย

ปัจจุบันโลกอยู่ใน “ภาวะสงครามพิเศษ” กับศัตรูที่มองไม่เห็น มันจะเป็นศัตรูที่ร้ายแรงก็ต่อเมื่อเราทำให้มันร้ายแรงเองด้วยการสร้างความเป็นปีศาจขึ้นในใจ (เหมือนครั้งหนึ่งที่เรากลัวคอมมิวนิสต์) จนสมองคิดอะไรไม่ออกเป็นง่อยเพราะความกลัว สติแตก รู้สึกแตกตื่นกักตุนสะสมอาหาร หากบ้านเรามีคนเช่นนี้จำนวนมาก สินค้าและอาหารก็จะขาดแคลนขึ้นมาจริง ๆ ได้ และเราจะเจ็บตัวกันมากกว่านี้

แน่นอนโควิด-19 น่ากลัวกว่าไข้หวัดปกติ (ซึ่งก็มีไวรัสตระกูลเดียวกับโควิด-19 ปนอยู่) เพราะมีโอกาสสร้างพิษสงแก่ “พวก 15%” ในระดับหนึ่ง และพิษสงร้ายแรงแก่ “พวก 5%” ที่เหลือซึ่งได้แก่พวกที่มีระดับภูมิคุ้มกันอ่อนแอกว่าปกติ (เช่น ผู้สูงอายุ คนที่กำลังเจ็บป่วยอยู่ คนไข้ติดเตียง ฯลฯ) แต่มันไม่ใช่อีโบลา (เคยมีอัตราการตายอยู่ระหว่าง 25-90%) หรือ MERS หรือ SARS หรือ HIV

เมื่อมันไม่ได้ร้ายแรงสุดๆ แล้ว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสื่อโลกและสื่อไทยจึงชอบที่จะตราบาปให้แก่คนที่ติดเชื้อนี้(เคยมีการทำอย่างนี้กับคนติดหวัดไหม) ทุกวันมีข่าวว่าคนใหญ่คนโต หรือดาราคนนั้นเป็น คนนี้เป็น ที่จริงมันเป็นเรื่องส่วนตัว การเอ่ยชื่อเขามันเป็นมารยาทและอาจเป็นการล้ำสิทธิมนุษยชนด้วย ผลจากการชอบตราบาปจะทำให้คนจำนวนมากแอบซ่อนไม่ไปหาหรือไม่บอกหมอ จนอาจเกิดการแพร่เชื้อแบบลับ ๆ อย่างกว้างขวางขึ้นได้

(3)เชื้อโควิด-19 มิได้ลอยอยู่ในอากาศแบบเชื้อวัณโรค จะรับเชื้อแบบผ่านอากาศก็ต่อเมื่อมีคนจามหรือ ไอใส่เราแบบเต็ม ๆ จนหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อเข้าไปในปอด ดังนั้น การใส่หน้ากากอนามัยป้องกันได้เฉพาะการ “ติดสด” (ขอใช้คำพูดของคุณหมอปัญญา ไข่มุกแห่งรายการ “สามหมออารมณ์ดี” 96.5FM) การใส่หน้ากากมิได้ทำให้ป้องกันโรคนี้ได้ 100% อย่างสบายใจดังที่หลายคนเข้าใจ การใส่หน้ากากจึงอาจมีอันตรายในแง่มุมของการสร้างความประมาทเพราะไม่ตระหนักว่า ยังมีสิ่งที่ร้ายแรงเช่นเดียวกันอยู่คือการ “ติดแห้ง”

คนติดเชื้อเมื่อไอจามก็จะมีละอองฝอย(droplets) กระจายออกมาติดนิ้วมือและตกบนผิววัสดุต่าง ๆ หรือเสื้อผ้า ถ้าคนอื่นเอามือไปสัมผัสเชื้อและมาโดนเนื้อเยื่อด้านในของจมูกหรือปากหรือ ขยี้ตา ก็จะทำให้เชื้อเข้าร่างกาย ถ้าระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงเชื้อโควิด-19 ก็จะถูกทำลาย (งานวิจัยพบว่าเชื้อโควิด-19 ส่วนใหญ่เข้าสู่ร่างกายผ่านเยื่อจมูกมากกว่าตาและเยื่อในปาก)

การล้างมือด้วยสบู่บ่อย ๆ หรือถูมือด้วยเจลแอลกอฮอร์จึงฆ่าเชื้อที่อาจติดมือเรามาและไม่เอามือจับหน้า หรือจับหน้ากากด้านนอกที่อาจมีเชื้อติดอยู่(หน้ากากผ้าที่เย็บกันเองตามมาตรฐานที่ทางการระบุก็ป้องกันเชื้อโควิด-19 ได้ และสามารถใช้ซ้ำได้ด้วยการนำมาซักและตากแดด)

มีผู้ถามว่าสามารถติดเชื้อโควิด-19 ผ่านเพศสัมพันธ์ได้หรือไม่ ดร.ยืน ภู่วรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญ (ด้านไวรัสนะครับ) บอกว่าติดต่อกันไม่ได้ ถ้ามีกิจกรรมที่มีระยะห่างกัน 2 เมตร

(4) เส้น Curve ที่ดังที่สุดในโลก ใช้อธิบายการระบาดตอนนี้คือภาพข้างบนจาก CDC (ศูนย์ควบคุมการระบาดเชื้อโรคของสหรัฐ) และแพร่หลายโดยนิตยสารThe Economist เมื่อเร็ว ๆ นี้

ทุกประเทศเผชิญสถานการณ์เดียวกันคือ ถ้าไม่มีการควบคุมให้ดี จำนวนติดเชื้อในแต่ละวันจะมีอัตราเพิ่มขึ้นสูงและถึงแม้จะลดลงในภายหลังก็จะเป็นปัญหาหนักเพราะมันจะเกินกว่าระดับความสามารถของระบบสาธารณสุขที่มีอยู่ (อิตาลี ตายกันมากก็เพราะเหตุนี้และมีสัดส่วนคนสูงอายุสูงสุดในยุโรป คือ อายุเกินกว่า 65 ปี ถึง26%) ทางออกคือการควบคุมสถานการณ์ผ่านการป้องกันด้วยลากดึงให้มันมีอัตราการระบาดที่ลดลงจนอยู่ภายใต้ความสามารถที่จะจัดการดูแลได้

​ถึงแม้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมดจะเท่ากัน แต่ถ้าไม่บริหารจัดการกดให้ curve มันแบนลงแล้ว ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นมาก วิธีการที่ไทยเราทำก็อย่างเดียวกันคือจัดการดูแลป้องกันให้ยอดคนป่วยต่ำด้วยมาตรการที่เข้มข้น ไม่ให้คนเดินทางถึงกันเพราะเชื้อมันไปกับคน และถึงคนพบกันก็ให้รักษาระยะห่างกันไว้ (social distancing)เช่น ไหว้แทนจับมือไม่พยายามสัมผัสกัน นั่งห่างกัน ไม่ให้หายใจรดกัน ฯลฯ (สนามมวย สนามตีไก่ชนวัวมีปัญหาก็เพราะการเชียร์มีตะโกน น้ำลายน้ำมูกจึงกระเด็นใส่กันในที่แออัด)

(5) ขอจบลงด้วยความหวัง ตอนนี้มีประกาศการมีต้นแบบวัคซีนป้องกัน โควิด-19 แล้วจากหลายประเทศ เช่น จีน อิสราเอล และออสเตรเลีย วิธีการใหม่ก็สามารถผลิตวัคซีนได้จำนวนมากและรวดเร็วด้วย ดังนั้นเรามีความหวังครับในเวลาอีกไม่นาน ขอให้มีกำลังใจสู้และเชื่อมาตรการที่รัฐบาลออกมา “เจ็บแล้วจบ”เป็นความเจ็บปวดที่ทนได้เสมอครับ