จีนชนะศึก แต่โลกต้องชนะสงคราม

 จีนชนะศึก แต่โลกต้องชนะสงคราม

โคโรน่าไวรัส คร่าชีวิตมนุษย์ไปเกือบหมื่นคน แถมยังทำให้วิถีชีวิตของคนทั้งโลก เปลี่ยนไปอย่างมากมาย

ผมผ่านช่วงเวลาของโรคระบาดมาหลายครั้ง ยังจำได้ว่าตอนที่ “โรคซาร์ส” ระบาด นั้น ผู้คนมีความกังวลมาก เพราะการติดต่อของโรคเกิดขึ้นได้ง่าย ผ่านระบบทางเดินหายใจ

เวลานั้น ผู้คนหวาดระแวงกันเอง ใครไอและจาม ก็รีบกลั้นหายใจ เพราะกังวลว่าเขาจะเป็นโรคซาร์สหรือไม่ การใช้หน้ากากอนามัยพอมีอยู่บ้าง แต่ไม่มากเหมือนยามนี้ ตอนนั้นลูกสาวผมได้รับทุนรัฐบาลสิงคโปร์ ไปเรียนมัธยมที่นั่น ซึ่งเป็นแหล่งระบาดสำคัญของโรคซาร์ส ผมซื้อหน้ากากอนามัยอย่างดีส่งไปให้ พร้อมกำชับให้ใส่

วันเดียวเห็นผลเลยครับ ลูกสาวแจ้งมาว่าชาวสิงคโปร์บนรถเมล์คันเดียวกัน มองด้วยสายตาแปลกๆ เพราะไม่มีใครใส่หน้ากากอนามัย ที่นั่นคนที่มีอาการป่วยเท่านั้น จึงใส่หน้ากากอนามัย เขาเลยมองว่าเด็กคนนี้ คงจะป่วย ลูกสาวผมต้องเก็บหน้ากากใส่กระเป๋า และไม่ใช้อีกเลย

ถึงวันนี้ โคโรน่า มาเยือนสิงคโปร์ และสิงคโปร์ก็ยังเหมือนเดิม เพราะนายกรัฐมนตรี ประกาศบอกประชาชนว่า ถ้าไม่เป็นโรค ก็ไม่ต้องใส่หน้ากาก เก็บไว้ให้คนที่มีอาการ และบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น

เรื่องที่ดูเหมือนจะธรรมดา คือใครควรใส่หรือไม่ควรใส่หน้ากากอนามัย แต่ละประเทศก็มีวิธีคิดและวิถีปฏิบัติ ที่ไม่เหมือนกันครับ

ที่อิตาลี ซึ่งถูกไวรัสกระหน่ำอย่างหนัก เพียง 2-3 วันที่ผ่านมา ชาวอิตาลีเสียชีวิตมากถึงวันละประมาณ 400 คน ซึ่งสูงมากๆ จนทำให้ต้องประกาศ ปิดประเทศ ห้ามจัดงานต่างๆทั้งหมด รวมทั้งพิธีการงานศพด้วย

ผู้คนเสียชีวิตมากขนาดนี้ แต่ไม่ให้จัดพิธีศพ และยังปิดเมืองปิดประเทศด้วย น่าสงสัยเหมือนกัน ว่าญาติๆจะจัดการกับบุคคลที่เขารักและจากไปอย่างกระทันหัน อย่างไร

เท่าที่เห็นข่าว ก็ทุลักทุเลพอสมควรแหละครับ เมื่อสถานบริการจัดงานศพ (Funeral Home) เต็มไปด้วยศพ จนไม่มีพื้นที่จะเก็บเพิ่มเติม บางคนต้องเก็บร่างของสามี หรือ น้อง ฯลฯ ไว้ที่บ้านเป็นวันๆ เพราะไม่มีใครยอมมาให้บริการ สถานบริการบางแห่งที่พอจะจัดงานให้ได้ ก็จัดอย่างรวดเร็ว มีเพียงพระมาทำพิธีสั้นๆเท่านั้น กระทั่งญาติก็ไปร่วมงานไม่ได้ เพราะถูกกักตัวไว้ 14 วัน นี่แหละครับพิษของโคโรน่าไวรัส

หนังสือพิมพ์บางฉบับ พาดหัวข่าวว่า ชาวอิตาลีเสียชีวิตอย่างว้าเหว่” เพราะไม่มีญาตสนิทมิตรสหายมาร่วมงานอำลา น่าเศร้าจริงๆ

 กลับไปเรื่องหน้ากากอนามัย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ว่าเป็น หนึ่งในสาเหตุ ที่ทำให้อิตาลีมีการระบาดอย่างรวดเร็ว เพราะคนที่นั่นไม่ค่อยใส่หน้ากากอนามัยกัน 

บ้านเรา นับตั้งแต่โรคนี้เริ่มระบาด ต้องถือว่าควบคุมได้ดีทีเดียว ถึงแม้ว่า 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จะเริ่มเห็นจำนวนผู้ติดเชื้อมีมากขึ้น และอาจจะมากขึ้นไปอีกระยะหนึ่งก็ตาม การรณรงค์ให้ใส่หน้ากากอนามัย น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ช่วยควบคุมการแพร่ระบาด มิให้ลามปามไปอย่างรวดเร็ว 

 การระบาดของโคโรน่าครั้งนี้ มีทั้งภาพที่น่ารัก น่าชื่นชม และภาพที่น่าชัง ให้สังคมเราได้เห็น แค่เรื่องหน้ากากเพียงเรื่องเดียว เราก็เห็นจิตอาสา ชมรม และบริษัทต่างๆ ออกมาดูแลช่วยเหลือกัน ทั้งทำหน้ากากผ้า ทั้งซื้อหน้ากากอนามัยไปบริจาค บางบริษัทอย่างเครือซีพี ลงทุนนับร้อยล้านบาท สร้างโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยเพื่อแจกฟรี น่าชื่นใจที่ได้เห็นครับ แต่ขณะเดียวกัน เราก็เห็นคนใจดำ ไร้เมตตาธรรม ถือโอกาสทำมาหากินกับหน้ากากอนามัย บนความเดือดร้อนของคนไทยด้วยกัน

ภาพอันงดงามข้ามพรมแดน ก็มีให้เห็น อาทิ คนไทยส่งกำลังใจไปอู่ฮั่นและไปยังคนจีนทั้งประเทศ ในช่วงเวลาที่พวกเขาวิกฤตมากที่สุด ภาพแจ็ค หม่า บริจาคหน้ากากอนามัยนับล้านชิ้น ให้ญี่ปุ่น อิตาลี สหรัฐฯ อาฟริกา ฯลฯ และภาพจีน ส่งผู้เชี่ยวชาญพร้อมเวชภัณฑ์ ไปช่วยอิตาลีสู้ไวรัส เป็นต้น

รวมทั้งชาวอิตาลีคนหนึ่ง ที่เขียนเตือนชาวโลกว่าอย่าประมาท เพราะจะผิดพลาดแบบพวกเขา จนต้องสูญเสียมากมายเช่นนี้

สรุปว่าโลกนี้ยังมีความงดงามอยู่เสมอแหละครับ ถึงแม้คนใจดำไร้เมตตาธรรมจะยังมีอยู่ในทุกสังคม แต่ในภาพรวม ความดีงามมีมากกว่า...

วันนี้ เราเดือดร้อนกันทั่วหน้า เศรษฐกิจหยุดชะงัก ต้องพักและเก็บตัวทำงานที่บ้าน ไม่มีใครทราบว่า แต่ละประเทศ จะต้องสูญเสียชีวิต และได้รับผลกระทบเศรษฐกิจ ไปอีกเนิ่นนานและหนักหนาเพียงใด

ผมเชื่อว่ามาตรการ Social Distancing หรือการกำหนดระยะห่างทางสังคม เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ บางเรื่องอาจเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมในสังคมอย่างถาวรด้วยซ้ำไป เช่นเมื่อเราเห็น เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ทรงยื่นพระหัตถ์จะไปสัมผัสกับบุคคลที่มาต้อนรับ แต่แล้วกลับดึงพระหัตถ์กลับมา แล้วทรงยกมือไหว้แทน เป็นต้น

แม้ในยามนี้ หลายคนจะ จิตตก แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่า ไวรัสโคโรน่า จะต้องพ่ายแพ้แก่ฝีมือมนุษย์อย่างแน่นอน มาตรการกำหนดระยะห่างทางสังคมในขณะนี้ เป็นเพียงความพยายามที่จะทำให้การแพร่เชื้อลดระดับลง ให้มากที่สุดเท่านั้น เพื่อให้ นักรบที่แท้จริง คือ บุคลากรทางการแพทย์ สามารถต่อสู้กับไวรัสได้ โดยไม่ต้องเผชิญกับผู้ป่วยรายใหม่ๆที่มากมายจนรับไม่ไหว

แต่ผมคิดว่า “นักรบ” อีกคนหนึ่งที่จะ “ออกดาบสุดท้าย” เพื่อสกัดเจ้าไวรัสตัวนี้ให้ “อยู่หมัด” จริงๆ ขณะนี้พวกเขากำลัง รบอยู่ในห้อง ที่เต็มไปด้วยหลอดแก้วและอุปกรณ์ต่างๆครับ พวกเขาคือ นักวิจัยในห้องแลป ผมเชื่อว่าเขาจะสกัดเจ้าไวรัสนี้ได้ อย่างแน่นอน

การรบยังคงดำเนินต่อไปในขณะนี้ เรารู้ว่า จีน ชนะ “ศึกอู่ฮั่น” จนถึงขั้นน่าพอใจแล้ว ในขณะที่ อิตาลีกำลังสูญเสียมากมาย และ ยุโรปรวมทั้งอเมริกา กำลังเผชิญศึก ด้วยการนำยุทธศาสตร์ของจีน และของประเทศอื่นในเอเซีย รวมทั้งของไทยเราด้วย มาเป็นบทเรียน แต่ในที่สุด มนุษย์จะต้องชนะ “สงคราม” ครั้งนี้ เมื่อเราพบวัคซีนที่ได้ผลครับ

มันอาจจะไม่ใช่เดือนนี้ หรือเดือนหน้า แต่มาลุ้นกันเถอะครับว่า ไตรมาส 3 หรือ 4 วิถีชีวิตของพวกเรา น่าจะกลับมาเหมือนเดิม หรือใกล้ๆเดิมได้...สู้ สู้!