ภาคธุรกิจเองก็มีการใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวกลางในการทำงานมากขึ้น
เมื่อกลายเป็นปัญหาของคนทั้งโลก การเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่คู่กับไวรัสโควิด-19 จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งเพราะการระบาดอย่างรุนแรง ยิ่งส่งผลให้เกิดมาตรการมากมายเพื่อจัดการไวรัสนี้ให้อยู่หมัด ซึ่งแต่ละประเทศ มีมาตรการที่ต่างกันออกไป เช่น การเลือกปิดประเทศของ อิตาลี สเปน และเยอรมัน หรือการชะลอการระบาดอย่างในประเทศอังกฤษที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นจำนวนมาก
แต่ไม่ว่าจะมีมาตรการเข้มงวดเพียงใด เชื้อไวรัสโควิด-19 ก็จะไม่มีวันหายไปจากโลกเพราะการแพร่กระจายเป็นวงกว้างของมัน จะทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในไข้หวัดประจำฤดูกาลในปีต่อๆ ไป การเร่งพัฒนาวัคซีนและยารักษาโรค จึงดูเป็นทางออกที่สำคัญที่สุดในเวลานี้
การมาถึงของโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะชะลอตัวอยู่แล้ว เกิดความตื่นตระหนกและโกลาหลขึ้นพร้อมกันในหลายประเทศ การดิ่งลงของราคาหุ้นทั่วโลกและความผันผวนของราคาน้ำมันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาน่าจะบอกได้เป็นอย่างดีถึงความวุ่นวายที่เกิดจากไวรัสตัวนี้
จากข่าวคราวที่ผ่านมาเราจึงเห็นการกักตุนอาหารและของอุปโภคบริโภคในหลาย ๆ ประเทศจนเกิดเหตุวุ่นวายขึ้น หลายคนไม่กล้าออกนอกบ้านไปใช้ชีวิตตามปรกติ เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัยจากเชื้อร้ายนี้ การบริหารจัดการในภาวะวิกฤติเช่นนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นมาก เพราะการที่เราดำรงชีวิตได้ตามปกตินั้น จะต้องมีคนทำงานอยู่จำนวนหนึ่งในสังคม โดยเฉพาะระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานทั้งหลาย โรงงานผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงธุรกิจการบริการ ที่ประชาชนทั่วไปยังต้องใช้บริการอยู่
หากทุกคนตื่นตระหนกไม่กล้าไปทำงานก็อาจส่งผลอย่างรุนแรงต่อวิถีชีวิตของประชาชนทั้งประเทศ เพราะหาซื้ออาหาร และสินค้าต่างๆ ไม่ได้ เศรษฐกิจก็จะหยุดชะงัก บริษัทต้องปิดกิจการและคนตกงานจำนวนมหาศาลตามมาเป็นลูกโซ่ ตัวอย่างจากประเทศจีนทำให้เห็นว่าการจัดการและกำหนดมาตรการต่าง ๆ อย่างรัดกุมสามารถทำให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมเริ่มเดินหน้าต่อและเศรษฐกิจก็ไม่พังพินาศ โรงงานต่างๆ ยังดำเนินการผลิตได้ เพียงแต่กำหนดให้พนักงานสลับการทำงาน เพื่อลดความแออัดและความหนาแน่นลง จึงไม่เกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
บ้านเราเองอาจจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการเช่นนี้เพื่อให้ธุรกิจและอุตสาหกรรมยังเดินหน้าต่อไปได้ เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากเราใช้ความหวาดกลัวเป็นเครื่องมือกระตุ้นให้คนทั้งประเทศตื่นตระหนก จนไม่กล้าออกไปไหนเป็นเดือนๆ จนเศรษฐกิจอาจล่มสลาย
เราเห็นตัวอย่างจากหลายประเทศในยุโรป และอเมริกาที่ขาดแคลนกระดาษชำระ จนต้องแย่งชิงกัน ซึ่งนั่นเป็นแค่สินค้าประเภทเดียว ลองคิดดูว่าลำพังแค่ประเทศไทยซึ่งเป็นฐานการผลิตของสินค้าหลายอย่างในโลก หากเราปิดโรงงานไปสัก 3 เดือนผลกระทบที่เกิดขึ้น ย่อมสร้างความวุ่นวายให้โลกแน่นอน ในทางกลับกันหากประเทศอื่นๆ เกิดการหยุดชะงักการทำธุรกิจ และการผลิตของอุตสาหกรรมด้านต่างๆ ส่งผลกระทบทำให้คนตกงานอย่างหลีกเลี่ยงไมได้เป็นจำนวนมาก ปัญหาสังคมตามมา โลกยิ่งโกลาหลมากขี้นอีกหลายร้อยเท่า
มาตรการในการกระตุ้นภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมให้ยังคงเดินหน้าต่อไปได้จึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องเดินเครื่องผลิตได้เต็ม 100% เหมือนในอดีต เพราะเมื่อต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัย อาจต้องลดจำนวนพนักงานลง ลดวันทำงานลง แต่ให้เดินหน้าผลิตต่อไปได้เพื่อให้สังคมและเศรษฐกิจขับเคลื่อนต่อไปได้สัก 70%-80% ก็น่าจะพอแก้ไขสถานการณ์ได้บ้าง
ภาคธุรกิจเองก็มีการใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวกลางในการทำงานมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบการทำงานร่วมกันซึ่งเอื้อให้ทำงานจากที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้ามาทำงานที่สำนักงาน หรือจะเป็นระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ก็ช่วยให้การประชุมดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง
ภาครัฐคงต้องกำหนดให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความชัดเจนว่า ต้องทำอย่างไร กำหนด มาตรการคัดกรอง การทำความสะอาด การตรวจสอบ หรือใช้เทคโนโลยีอะไรทดแทนได้บ้าง แต่ละจังหวัดจะมีแนวทางอย่างไร แต่ละบริษัทควรทำอย่างไร ตลอดจนการปฏิบัติตัวของประชาชน ดูแลตัวเองอย่างไรให้รอดพ้นไวรัสตัวนี้ให้ได้ รวมถึงให้มีความตระหนักและความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม เพื่อไม่ให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมเสียหายไปมากกว่านี้
ทั้งหมดนี้เพื่อให้ทุกภาคส่วนเกิดความมั่นใจ และกล้าเดินหน้าต่อไปแม้จะยังไม่เต็มร้อย แต่ก็ประคับประคองสถานการณ์ให้ดีที่สุดจนกว่าเราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันทุกคน
ผมเชื่อว่าแม้โควิด-19 จะอุบัติมาสร้างความโกลาหลให้กับมนุษยชาติได้ แต่เราจะไม่มีวันยอมแพ้ให้กับเชื้อร้ายตัวนี้อย่างแน่นอน