สถิติตัวเลขมีสัญญาณบวกให้เห็น แต่ก็ต้องไม่ประมาทในการใช้ชีวิต
ความสนใจของคนทั้งโลกในเวลานี้ดูจะพุ่งเป้าไปที่วิกฤติการณ์ที่เกิดจากไวรัสโควิด-19 กันเป็นส่วนใหญ่ จากพื้นที่ข่าวในเวลานี้ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ ออนไลน์ ไปจนถึงข่าวลือที่แพร่สะพัดกันปากต่อปากล้วนเป็นเรื่องของการระบาดและจำนวนผู้ป่วยในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
แม้ว่าบ้านเราจะมีมาตรการที่ค่อนข้างรัดกุมจนทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสมจำกัดอยู่ไม่ถึง 50 คน ไม่ติด 10 อันดับแรกของประเทศผู้ติดเชื้อ ทั้งที่ในระยะแรกเราเป็นประเทศที่มีผู้ป่วยสูงเป็นอันดับสองของโลกรองจากจีนเท่านั้นเพราะเป็นประเทศหลักที่ชาวจีนนิยมเดินทางมามากที่สุด
ทว่าความตื่นตระหนกก็ยังคงรุนแรงอยู่เพราะข่าวจำนวนมากมาย เช่นคนไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศเสี่ยงจำนวนมากจะเดินทางกลับ และการระบาดก็ลุกลามไปยังประเทศอื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งอิตาลี อเมริกา อิหร่าน บราซิล ฯลฯ จนเราต้องคอยจับตาดูข่าวจากประเทศอื่นๆ ตลอด
แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมของบ้านเราจะดีกว่าอีกหลายๆ ประเทศซึ่งไม่ว่าจะเป็นเพราะนโยบายหรือการบริหารของภาครัฐ หรือเป็นเพราะความร่วมมือของประชาชน ไปจนถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาคุ้มครองชาวไทย แต่ก็ต้องขอให้เราผ่านระยะการแพร่ระบาดนี้ไปให้ได้
หันไปดูประเทศจีนที่สถิติตัวเลขบอกให้รู้ว่าทุกอย่างน่าจะใกล้ควบคุมได้แล้ว จากจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นมีอัตราลดลงเรื่อยๆ และจำนวนผู้ป่วยรายใหม่ก็ตกเป็นที่ 2 รองจากเกาหลีใต้ ในขณะที่จำนวนผู้ป่วยที่หายดีก็เพิ่มเป็นเกือบ 6 หมื่นคน ทำให้จำนวนผู้ป่วยต่อประชากรน้อยกว่าเกาหลีใต้ อิตาลี และอิหร่านที่มีปัญหาในภายหลัง
ในขณะที่อัตราผู้เสียชีวิตที่เคยมีอัตราประมาณ 2% แต่ล่าสุดในเกาหลีใต้ทำให้เห็นว่าหากตรวจพบและรักษาให้ทันเวลาจะลดอัตราเสียชีวิตลงเหลือ 0.6% เท่านั้น ที่สำคัญตัวเลขล่าสุดบ่งชี้ว่าจีนไม่มีจำนวนผู้ติดเชื้อนอกมณฑลหูเป่ยในสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นหมายความว่ามณฑลอื่นๆ ของจีนนั้นน่าจะปลอดภัยและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ในเร็วๆ นี้
เราอาจสบายใจขึ้นหากดูจากสถิติตัวเลขที่มีสัญญาณบวกให้เห็นเป็นระยะๆ แต่ทั้งนี้ก็ต้องระมัดระวังและไม่ประมาทในการใช้ชีวิต เพราะการบังคับควบคุมประชากรของไทยและประเทศอื่นอาจไม่เคร่งครัดเท่ากับจีนซึ่งบริหารจัดการได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดกว่ามาก
ที่สำคัญรัฐบาลจีนยังพยายามสร้างสมดุลการป้องกันไวรัสด้วยมาตรการต่างๆ ที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้ชาวจีนทุกคนมั่นใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องคิดถึงเรื่องปากท้องของประชาชนด้วยเพราะประชากรกว่า1 พันสามร้อยล้านคนต้องทำงานหาเลี้ยงชีพจึงต้องมีวิธีให้ประชากรทำงานต่อไปได้โดยไม่สะดุดติดขัดมากจนเกินไป
ทุกวันนี้เราจึงเห็นว่าภาคธุรกิจของไทยที่จำเป็นต้องติดต่อด้านธุรกิจกับจีนเริ่มกลับมาทำงานได้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่สมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็สามารถพูดคุยติดต่อประสานงานได้ผ่านระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปมาซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของโรค
ในขณะเดียวกันโรงงานต่างๆ ซึ่งจีนเป็นฐานผลิตสำคัญของทั้งโลกก็เริ่มกลับมาทำงานตามปกติ โดยภาคอุตสาหกรรมและรัฐบาลก็มีมาตรการความปลอดภัยต่างๆ ให้คนทำงานมั่นใจ เช่นสลับเวลาทำงานเพื่อลดความแออัด มีการฆ่าเชื้อตลอดทั้งวันเพื่อลดโอกาสการแพร่เชื้อ ฯลฯ
มาตรการดังกล่าวถูกกำหนดเป็นแผนปฏิบัติงานในแต่ละอุตสาหกรรม ในแต่ละมณฑล แต่ละเมือง ซึ่งจะประสานงานกับภาคธุรกิจด้วยการบังคับใช้กับแต่ละบริษัทอย่างเคร่งครัด โดยมีผู้ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เพราะรัฐบาลจีนรู้ว่าหากปล่อยให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมหยุดงานไปเรื่อยๆ จะทำให้เศรษฐกิจของทั้งประเทศจีนและทั้งโลกต้องล่มสลายลงแน่นอน