ถ้าอยากมีความสุข

ถ้าอยากมีความสุข

ได้อ่านบทความหนึ่ง ผู้เขียนนี้เป็นฝรั่งต่างชาติที่ความคิดของเขาอาจไม่เหมือนของเราในทุกเรื่อง แต่บางเรื่องก็น่าสนใจ

ผมขอแปลงคำอธิบายพร้อมยกตัวอย่างแบบไทยๆ จะได้เห็นภาพที่เขาสรุปว่า คนที่ไม่มีความสุขในโลกปัจจุบันที่อยู่กับสื่อออนไลน์ แข่งขันกันทำงาน และแก่เฒ่าแบบไม่มีคนดูแล อะไรแบบนี้ มีหลายเรื่องถ้าไม่ทำแล้วจะดีกว่าโดดลงไปทำ และทำให้มีความสุขในการใช้ชีวิตมากกว่า

1.เรื่องการขอโทษโดยไม่จำเป็น (Stop apologizing) อย่าทำตัวเป็นผู้ผิดรู้สึกผิดเวลาที่ไม่ได้ขอโทษเสมอไป เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องขอโทษ เพราะถ้าคิดถึงคนที่คิดว่าควรขอโทษ เขาเหล่านั้นอาจไม่ได้คาดหวังว่าจะมีการขอโทษก็ได้ เช่น คนส่งอีเมลมาหาแล้วไม่มีเวลาตอบทันที พอจะเขียนตอบก็รู้สึกผิด มีความกดดันในใจว่าไม่ได้ตอบโดยเร็ว ต้องขอโทษ เรื่องการสื่อสารแบบออนไลน์นี้คนส่วนใหญ่ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการตอบกลับทันที บางทีอาจเป็นวันเป็นสัปดาห์แม้กระทั่งเป็นเดือนก็ไม่ว่าอะไร ถ้าเขาต้องการคำตอบรวดเร็วก็คงไม่ใช้สื่อออนไลน์แน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ต้องรู้สึกผิด ขอโทษอย่างพร่ำเพรื่อ เพราะพวกที่ส่งสารผ่านสื่อออนไลน์ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักอยู่แล้ว

2.เช่าบ้านอยู่อาจจะมีความสุขมากกว่าซื้อบ้านเป็นเจ้าของเอง (Rent, instead of buy, a home) ถ้าไม่คิดถึงเรื่องความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินแล้ว การเช่าบ้านมีความกดดันน้อยมาก การบำรุงรักษาตกอยู่กับผู้ให้เช่า ไม่พอใจก็ย้ายไปไหนมาไหนได้ทันที รับผิดชอบเฉพาะเรื่องที่ตกลงกันตามสัญญาเช่า ผิดกับการเป็นเจ้าของบ้านที่นอกจากจะมีแรงกดดันจากการลงทุนที่เป็นค่าใช้จ่ายตลอดชีวิตแล้วยังมีเรื่องจุกจิกจิปาถะ จะขายก็ยาก ไม่เหมือนตอนซื้อ ถ้าไม่อยากเครียดเรื่องบ้านก็อย่าไปซื้อบ้าน เช่าเอาดีกว่า จนกว่าจะพร้อมจริงๆ ไม่งั้นจะเกิดภาระมหาศาล เครียดทุกวัน

3.อย่ารีบเกษียณทำงาน (Don' retire early)หลายคนถึงกับฝันว่าจะเลิกทำงานเมื่ออายุ 30, 40 ใช้ชีวิตเดินทางท่องเที่ยวอย่างมีความสุข ตามหาความฝัน แต่จากงานวิจัยพบว่า คนที่เกษียณอายุตั้งแต่อยู่ในวัยทำงานไม่มีความสุขเท่าคนที่มีงานทำจนถึงอายุ 60,65 คนที่ไม่ได้ทำงานนั้น พอเที่ยวไปนานๆ ก็เบื่อ รู้สึกเป็นมนุษย์ไร้ค่า สมองไม่ได้ใช้งานนานก็เสื่อม กลายเป็นคนเชื่องช้าทางความคิด อาจมีความสุขทางกาย แต่สมองและจิตใจว่างเปล่า การทำงานทำให้มีเครือข่ายทางสังคม ได้พบปะพูดจาถกเถียงเรื่องต่างๆ สมองได้ทำงานตลอดเวลา โรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์อาจจะถามหาช้าลง แล้วอย่างนี้จะรีบเกษียณทำงานไปทำไม

4.พร้อมที่จะเป็นผู้สูงวัย (Embrace getting older) จนถึงวันสุดท้ายทุกคนต้องเข้าสู่โหมดผู้สูงอายุ การเตรียมตัวเตรียมพร้อมเป็นเรื่องดี ยิ่งเตรียมการให้พร้อมตั้งแต่เรื่องการแบ่งแยกทรัพย์สินกองมรดก จนถึงการใช้ชีวิตในวาระสุดท้ายยิ่งดีใหญ่ ไม่เป็นภาระใคร ไม่ทำให้เกิดสภาวะคนตายขายคนเป็น อย่างนี้ทุกคนในครอบครัวและคนรอบข้างก็ไม่รังเกียจที่จะไปมาหาสู่ ลูกหลานรู้สึกว่ามาหาแล้วพุดคุยเรื่องดีๆ ในครอบครัวก็อยากแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน ไม่ใช่มาทีก็ต้องควักเงินช่วยที บ่อยเข้าก็หายหน้า แล้วก็ทำให้ไม่มีความสุข การเตรียมพร้อมเมื่อถึงวันที่ต้องจากโลกเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมทั้งตัวและใจ จากโลกไปอย่างสงบ ลูกหลานไม่เดือดร้อน เป็นสุดยอดของชีวิตคน

5.ไม่อยากเครียด อย่าทำงานกฎหมาย (Don't be a lawyer)ดูข่าวตำรวจที่นิวยอร์คฆ่าตัวตายเป็นคนที่ 9 ของปี และตลอดปีนี้ทั่วสหรัฐมีตำรวจที่เครียดจากการทำงานถึงฆ่าตัวตายแล้ว 114 คน เพิ่มจากปีที่แล้วถึง 24 % บ้านเราก็มีเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ งานรักษากฎหมายมีความกดดันสูง บางครั้งไม่มีทางออก ผู้ปฏิบัติหน้าที่เคร่งครัดตามตัวบทกฎหมายแท้จริงนี่เครียดเอามากๆ เพราะเวลาเกิดเรื่องมีข้อพิพาท มักจบลงที่ฝ่ายหนึ่งแพ้ฝ่ายหนึ่งชนะ ฝ่ายที่แพ้ไม่ว่าที่ไหนมักไม่ยอมรับ และจะโทษที่ผู้ใช้กฎหมายรักษากฎหมาย บ้านเราก็มีข่าวบ่อยๆ ผู้พิพากษาหลายคนเครียดจากการทำงาน เพราะทุกครั้งที่มีคำพิพากษา ฝ่ายชนะก็ว่ายุติธรรมแล้ว ฝ่ายแพ้ก็จะว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แล้วก็คร่ำครวญก่นด่า รวมทั้งสังคมปัจจุบันที่คนไม่รู้ข้อเท็จจริงก็เชื่อประโคมด่าตาม

คนที่ทำหน้าที่รักษากฎหมายใช้กฎหมายบังคับใช้กฎหมายไม่มีทางทำให้คนถูกใจทั้งหมด ไม่มีทางแก้ตัว พอชัดเจนว่าการบังคับใช้กฎหมายเป็นเรื่องที่ถูกต้องเป็นธรรม พวกที่เคยก่นด่าก็เงียบไปเฉยๆ ไม่เคยขอโทษ เป็นความอยุติธรรมของสังคมที่ผู้ใช้กฎหมายต้องแบกรับแต่เพียงฝ่ายเดียว และ

6.ถ้าจะร้องเรียนเรื่องอะไร ก็ต้องทำอย่างมีเป้าหมาย (Complain with purpose)อย่าเที่ยวได้ไปร้องเรียนเลอะเทอะเปรอะไปหมด ดูข่าวทุกวันจะเห็นเหล่านักร้อง(เรียน) ยื่นหนังสือที่โน่นที่นี่ แกร้องได้ฉันก็ร้องได้ เมื่อร้องแล้วก็ไม่ได้คาดหวังอะไรจากการร้องเรียน เป็นเพียงการสร้างกระแส เพราะการร้องเรียนแบบเปื้อนเปรอะเลอะเทอะนี้ไม่มีเป้าหมาย ร้องเรียนอย่างเลื่อนลอย คนที่เป็นนักร้อง(เรียน) แบบนี้ทำให้สังคมไม่สงบสุข ในที่สุดก็เหมือนเด็กเลี้ยงแกะ ไม่มีความน่าเชื่อถือ พอออกมาพูดคนก็เบื่อหน้า คนธรรมดาสามัญถ้าจะร้องเรียนก็ควรเลือกร้องเรียนอย่างมีวัตถุประสงค์ชัดเจน ไม่งั้นก็เท่ากับสร้างความเครียดให้กับตัวเอง ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีคำอธิบาย เรื่องนี้บ้านเราถนัดมาก โดยเฉพาะเหล่าคนที่ทำงานภาคสังคม ใครมาหาก็ใส่สูทพิมพ์หนังสือใส่ซอง แจ้งข่าวแจกข่าวสื่อให้ไปทำข่าวตอนไปยื่นหนังสือ จากนั้นก็เงียบไป เพราะการร้องเรียนมันไม่มีเป้าหมายจริงจัง ถ้าอยากมีความสุขก็อย่าเป็นนักร้อง(เรียน) เพราะในที่สุดก็ตัวเองที่กดดันตัวเอง ปล่อยวาง ร้องเรียนเฉพาะเรื่องที่ควรจริงจังเท่านั้น

บทความที่ฝรั่งเขียนนี้ไม่ได้อธิบายแบบที่ผมเขียน เป็นตัวอย่างแบบฝรั่งๆ บางอย่างคงอธิบายในสังคมบ้านเราไม่ได้ แต่ผมเขียนในแบบไทยๆ ซึ่งก็คงกล้อมแกล้มอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นถือเป็นเรื่องเขียนให้อ่านเบาๆ สบายๆ ในวันแรกของสัปดาห์ก็แล้วกัน