วิกฤติ คือ โอกาส...

วิกฤติ คือ โอกาส...

ปี 2020 นับเป็นการเริ่มต้นปีที่ไม่ค่อยสดใสนักสำหรับตลาดหุ้น SET Index ปรับลดลง 13.5% ภายในเวลาไม่ถึง 2 เดือน

 จากปัจจัยที่นักลงทุนไม่คาดคิด นั่นคือ การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ในประเทศจีนตั้งแต่เดือนธันวาคม 2019 ปัจจุบันมีผู้ป่วยทั่วโลกรวมกว่า 8 หมื่นราย โดยประเทศที่มีผู้ป่วยมากที่สุดคือจีน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น รองลงมาตามลำดับ องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศให้เชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลก ทำให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศปิดเมืองอู่ฮั่น และสั่งให้บริษัททัวร์ของจีนหยุดกิจกรรมการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2563 แต่กระนั้น จำนวนผู้ติดเชื้อนอกประเทศจีนก็ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เนื่องจากในยุคปัจจุบัน ด้วยการคมนาคมทั้งทางอากาศ และทางเรือที่รวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้มนุษย์เดินทางไปได้ทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดแหล่งแพร่เชื้อใหม่นอกมณฑลอู่ฮั่น และมีผู้ป่วยกระจายไปในหลายสิบประเทศทั่วโลก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้รัฐบาลในหลายประเทศออกมาเตือนประชาชนของตนเองให้หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังประเทศสุ่มเสี่ยง เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และบางประเทศยังได้รวมประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศเสี่ยงด้วย

ประเทศไทยนั้นพึ่งพาการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก โดยรายได้จากการท่องเที่ยวคิดเป็นประมาณ 20 เปอร์เซนต์ของจีดีพีรวม อีกทั้งยังเป็นจุดหมายปลายทางที่นิยมของนักท่องเที่ยวจีน โดยมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามาในประเทศประมาณ 10 ล้านคนต่อปี การห้ามทัวร์จีนเดินทางออกนอกประเทศ และการงดการเดินทางของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ในช่วงนี้จึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทย หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโรงแรม สนามบิน สายการบิน ค้าปลีก รวมไปถึงกลุ่มพลังงานถูกเทขายอย่างรุนแรงต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว เนื่องจากนักลงทุนยังมองไม่เห็นการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวในระยะอันใกล้นี้ จีดีพีของไทยน่าจะหดตัวลงจากปี 2019 ที่โต 2.4% อาจจะเหลือเพียง 1.3% ในปีนี้ โดยจีดีพีน่าจะเติบโตติดลบใน 2 ไตรมาสแรกของปีนี้

อย่างไรก็ตาม หากการแพร่ระบาดของไวรัสเริ่มควบคุมได้ ซึ่งหากติดตามตัวเลขจำนวนผู้ป่วยใหม่ในจีน จะเห็นว่าเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งที่ลดลง และผู้ที่ได้รับรักษาจนหายดีมีเพิ่มขึ้น รวมถึงผู้ป่วยที่เข้าข่ายต้องสงสัยเริ่มลดลงเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าการระบาดในจีนเริ่มอยู่ในระยะที่ควบคุมได้ แม้ว่าตอนนี้การแพร่ระบาดเริ่มขยายวงกว้างไปยังประเทศอื่นๆ แต่หากมองว่าประเทศอื่นๆ น่าจะใช้ระยะเวลาใกล้เคียงกันกับจีนในการจัดการและควบคุมโรคนั้น คาดว่าในเวลาไม่เกิน 1-2 เดือนนับจากนี้ โรคนี้จะถูกควบคุมได้ในที่สุด และด้วยความรุนแรงของโรคที่ไม่ได้ร้ายแรง อัตราการตายอยู่ในระดับต่ำเพียง 2-3% เหตุการณ์นี้น่าจะจบได้เร็ว หรือกลายเป็นความเคยชินใหม่ไปในที่สุด ในครึ่งปีหลังของปีนี้ จึงมีแนวโน้มสูงที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว ยิ่งไปกว่านั้น ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้มีการผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน เช่น การลดดอกเบี้ย และการเพิ่มสภาพคล่อง เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจอีกด้วย ตลาดหุ้นซึ่งเป็น Leading Indicator ของเศรษฐกิจจึงน่าจะเห็นการฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2

จากการประเมินผลกระทบเบื้องต้น คาดการณ์ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้มีแนวโน้มหดตัวจากปีที่แล้ว นำโดยกลุ่มพลังงานที่กำไรน่าจะหดตัว จากราคาน้ำมันที่ยังลดลงต่อเนื่องในครึ่งปีแรก กลุ่มขนส่งทางอากาศและกลุ่มโรงแรมที่น่าจะมีผลการดำเนินงานขาดทุนในปีนี้ กลุ่มค้าปลีกก็น่าจะมีกำไรลดลงจากการบริโภคชะลอตัว รวมไปถึงกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่แนวโน้มกำไรไม่โต หากการเติบโตของสินเชื่อต่ำกว่าเป้า ประเมินกำไรต่อหุ้นของตลาดในปี 2020 ลดลงเหลือ 90 บาทต่อหุ้น หากพิจารณา SET Index ที่ปรับตัวลงมาสู่ระดับ 1,366 จุด ณ ปัจจุบัน (วันที่ 26 ก.พ. 63) คิดเป็นค่าพีอีของตลาดที่ 15.2 เท่า และมี Earnings Yield Gap สูงถึง 5.8% ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับอดีต  สำหรับนักลงทุนระยะยาวนั้น เหตุการณ์วิกฤติในรอบนี้เปรียบเสมือนโอกาสในการเข้าลงทุนในหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดีในราคาถูก หุ้นหลายตัว เช่น หุ้นในกลุ่มโรงแรมและสายการบิน ที่ราคาปรับลดลงมามากอาจเป็นหนึ่งในตัวเลือกลงทุนได้ หรือหุ้นในกลุ่มที่มีความเกี่ยวข้องน้อยกับการท่องเที่ยวและคนจีน แต่ถูกแรงเทขายลงมาเช่นกัน ได้แก่ หุ้นในกลุ่มไฟแนนซ์ หุ้นค้าปลีก และหุ้นในกลุ่มขนส่ง เช่นรถไฟฟ้าใต้ดิน ก็อาจเป็นตัวเลือกในการลงทุนเช่นกัน