ลงทุนหุ้นปันผล

ลงทุนหุ้นปันผล

เวลาตลาดหุ้นตกต่ำลงต่อเนื่องยาวนานอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ การเล่นหุ้นเพื่อหวังทำกำไรจากการซื้อขายเร็วๆ ดูเหมือนจะยากขึ้นเรื่อยๆ

เวลาที่ตลาดหุ้นตกต่ำลงต่อเนื่องยาวนานอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ การลงทุนหรือเล่นหุ้นที่มีลักษณะของการเก็งกำไรร้อนแรงเพื่อหวังจะทำกำไรจากการซื้อขายเร็ว ๆ ดูเหมือนจะยากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนใหญ่แล้วคนที่เป็นรายย่อยและไม่มีข้อมูลพิเศษหรือไม่ได้เป็นรายใหญ่ที่ซื้อขายมากและมีพลังในการขับเคลื่อนราคาหุ้นมักจะขาดทุน   แน่นอนว่าในช่วงสั้น ๆ ก็อาจจะกำไรบ้าง แต่หุ้นอาจจะขึ้นเพียงไม่กี่วันก็ตกกลับลงมา และมักจะต่ำกว่าที่นักลงทุนรายย่อยเข้าไปซื้อ 

ดังนั้น การเล่นหุ้นเก็งกำไรจึงเป็นกลยุทธ์ที่มักจะไม่ประสบความสำเร็จในช่วงเวลาแบบนี้

การเล่นหุ้น “เติบโต” ซึ่งเป็นกระแสการเล่นหุ้นของนักลงทุนไทยต่อเนื่องยาวนานมาจนถึงวันนี้เอง ก็ดูเหมือนว่าจะลำบากขึ้นเรื่อย ๆ 

ปัญหาก็คือ  หาหุ้นเติบโตจริง ๆ  ค่อนข้างยากในภาวะที่เศรษฐกิจไม่อำนวย  นอกจากนั้น การเติบโตระยะยาวต่อจากนี้ก็น่าจะยากขึ้น อานิสงส์จากการที่ประชากรไทยกำลังแก่ตัวลงอย่างรวดเร็วเพราะคนเกิดน้อยลง ทำให้ความต้องการสินค้าผู้บริโภคที่ไม่ใช่สินค้าไฮเทคยุคใหม่น่าจะไม่ค่อยโต

ดังนั้น หุ้นเติบโตที่คนเล่นกันในช่วงเวลานี้ก็มักจะเป็นการเติบโตชั่วคราวหรือไม่โตจริง พอราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปซักพักตามผลประกอบการที่ดีขึ้นในช่วงสั้น ๆ ปีสองปีก็ตกลงมาอย่างหนัก เมื่อผลประกอบการเริ่มแย่ลงตามภาวะของอุตสาหกรรมหรือปัญหาของบริษัทเอง

ดังนั้น  กลยุทธ์ลงทุนในหุ้นเติบโตเองก็มีความเสี่ยงและเป็นความเสี่ยงที่รุนแรงเนื่องจากราคาหรือค่า PE ของหุ้นที่สูงลิ่ว

การเล่นหุ้น Defensive หรือหุ้นที่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยนั้น  ในช่วงเวลาแบบนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ Defensive จริง  เหตุผลสำคัญก็คือ  ราคาของหุ้นบางกลุ่มบางตัว เช่น หุ้นในกลุ่มไฟฟ้า พลังงาน หรือสาธารณูปโภคกลับแพงลิ่ว ค่า PE สูงถึงกว่า 50-60 เท่าขึ้นไปก็มี ดังนั้น ในแง่ของหุ้นแล้ว มันไม่ Defensive เลย 

ในภาวะที่ทุกอย่างไม่สดใส  การคาดหวังผลตอบแทนจากตลาดหุ้นแบบสูง ๆ  เกินกว่าปีละ 10% ดูเหมือนว่าจะเป็นไปได้ยาก  ประกอบกับผลตอบแทนจากการลงทุนทางเลือกอื่น ๆ  โดยเฉพาะการฝากเงินหรือการซื้อหุ้นกู้หรือพันธบัตรตกต่ำลงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน  ผมก็คิดว่า นี่คือเวลาที่เราควรหันมามองการลงทุนใน “หุ้นปันผล” ที่พอจะหาได้ในตลาดหุ้นแม้ว่าอัตราการปันผลเทียบกับราคาหุ้นอาจจะไม่ได้สูงมากนัก  หุ้นปันผลที่ให้อัตราผลตอบแทนปีละประมาณ 4-5% ก็พอจะมีให้ลงทุนและมีจำนวนพอที่จะซื้อหลายตัวเพื่อกระจายความเสี่ยงได้

ผมคิดว่า นี่คือเวลาที่เราควรหันมามองการลงทุนใน “หุ้นปันผล” ที่พอจะหาได้ในตลาดหุ้น แม้ว่าอัตราการปันผลเทียบกับราคาหุ้นอาจจะไม่ได้สูงมากนัก  หุ้นปันผลที่ให้อัตราผลตอบแทนปีละประมาณ 4-5% ก็พอจะมีให้ลงทุนและมีจำนวนพอที่จะซื้อหลายตัวเพื่อกระจายความเสี่ยงได้

ก่อนที่จะพูดถึงคุณสมบัติของหุ้นปันผลที่จะลงทุนผมเองอยากจะย้อนประสบการณ์ช่วงตลาดหุ้นเหงาหงอยและไม่มีใครสนใจการลงทุนในหุ้นในช่วงหลังปีวิกฤติ 2540 ที่ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้นเต็มตัวและได้เขียนบทความลงในคอลัมน์โลกในมุมมองของ Value Investor ชื่อ  “ปันผลเป็นคำตอบสุดท้าย”  ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ 2544 หรือเกือบ 20 ปีมาแล้ว 

ในบทความนั้นผมได้ยกตัวอย่างหุ้น 12 ตัวซึ่งทั้งหมดยังซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นทุกวันนี้  โดยผลตอบแทนจากปันผลหรือ Dividend Yield เฉลี่ยของ “หุ้นปันผล” 12 ตัว ในขณะนั้นก็คือ 8.23% ต่อปี ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารกำลังลดลงอย่างรวดเร็วเหลือเพียง 2-3 % ต่อปีซึ่งก็เป็นเหตุผลที่ผมแนะนำให้ลงทุนในหุ้นปันผลที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่ามาก 

ผมคงไม่ต้องบอกว่าถ้าใครลงทุนในหุ้นกลุ่มนั้นและถือยาวมาเรื่อย ๆ จะได้ผลตอบแทนรวมเท่าไร  เพราะดัชนีตลาดหุ้นในขณะนั้นคือประมาณ 300 จุด  และราคาหุ้นกลุ่มนั้นก็ปรับตัวขึ้นตามดัชนีที่ปรับตัวขึ้นเป็นประมาณ 1,500 จุด หรือ 5 เท่าของเดิม  หุ้นยังจ่ายปันผลเกือบทุกตัว  แต่ก็ไม่มีหุ้นตัวไหนกลายเป็นซุปเปอร์สต็อก

สำหรับคุณสมบัติของ “หุ้นปันผล” ที่ผมคิดว่าจะปลอดภัยและจะได้ผลตอบแทนที่ดีในวันนี้ก็คือ  

ข้อแรก  มันจะต้องไม่ถูก Disrupt โดยเทคโนโลยีหรือการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีดิจิตอล  หรือต้องสามารถอยู่ได้อย่างน้อยในช่วง 10 ปีข้างหน้า 

ข้อ 2 ) ต้องเป็นบริษัทที่ “สามารถแข่งขันได้” ในอุตสาหกรรมของตนเอง  ถ้าเป็นผู้นำด้วยก็ยิ่งดี 

ข้อ 3)  เป็นบริษัทที่อยู่มานาน และพิสูจน์แล้วว่าสามารถฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ  รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจและสถานการณ์ที่เลวร้ายมาหลายรอบแล้ว 

ข้อ 4)  เป็นบริษัทที่มีกำไรที่ดีมา “ตลอด” นั่นคือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างน้อยเกือบ 8% ต่อปีขึ้นไปและในภาวะปกติก็จะได้กำไรและจ่ายปันผลอย่างสมเหตุผล  อาจจะมีบางปีที่ขาดทุนได้แต่ก็ต้องไม่มากและเป็นข้อยกเว้น  กำไรของบริษัทต้องค่อนข้างสม่ำเสมอ  ความผันผวนไม่สูงเช่น บวกลบไม่เกิน 20% เป็นส่วนใหญ่ 

ข้อ 5) ฐานะการเงินของบริษัทต้องมั่นคง  อัตราส่วนหนี้สินต้องไม่สูงเกินไปหรือเกินกว่าอัตราที่เป็นที่ยอมรับในอุตสาหกรรมเดียวกัน  ถ้าไม่มีหนี้ก็ยิ่งดี

ข้อสุดท้าย ราคาหุ้นต้องไม่แพงหรือถ้าจะดีก็คือถูก  ถ้าวัดจากค่า PE ก็คือไม่เกินประมาณ 10-15 เท่า  วัดจากค่า PB ไม่เกิน 1-3 เท่า  วัดจากค่า Market Cap. ที่สมเหตุผลกับตัวธุรกิจและอุตสาหกรรม  และที่สำคัญก็คือ  ค่า Dividend Yield หรือปันผลเมื่อเทียบกับราคาหุ้นควรจะต้องสูงอย่างน้อย 3-4% ต่อปีขึ้นไป ถ้าสูงถึง 5-6% ขึ้นไปได้ก็ยิ่งดี อย่างไรก็ตาม  ในประเด็นของข้อนี้  การพิจารณาอาจจะไม่ได้ดูเพียงปีเดียว  แต่ควรจะดูย้อนหลังไป 4-5 ปี เพื่อที่จะเห็นว่าหุ้นมีคุณสมบัติแบบนี้จริง  นอกจากนั้น  ในกรณีที่ปีนี้บริษัทหรือหุ้นอาจจะมีปัญหาบางอย่างแต่ถ้าดูแล้วในที่สุดหรือปีหน้าบริษัทก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม  แบบนี้ก็อาจจะยังถือว่าบริษัทเป็น “หุ้นปันผล” ที่จะให้ผลตอบแทนที่เป็นปันผลที่ดีได้

เมื่อตัดสินใจลงทุนในหุ้นปันผลแล้ว  สิ่งที่จะต้องทำก็คือการติดตามเรื่องของความแข็งแกร่งของบริษัทที่จะยังสามารถรักษากำไรในระดับที่เพียงพอที่จะจ่ายปันผลได้ตามที่คาดในระยะยาว

แน่นอนว่าเราอยากเห็นผลประกอบการที่ดีขึ้นแต่ไม่ควรคาดหวังเพราะอาจจะทำให้เราเสียใจได้  เช่นเดียวกัน  การติดตามเรื่องของเทคโนโลยีที่อาจจะ Disrupt กิจการของบริษัทก็ยังต้องทำอย่างสม่ำเสมอ  เพราะนี่คือสิ่งที่จะอยู่กับโลกเราตลอดไป  และว่าที่จริงทุกธุรกิจในปัจจุบันนั้นมีความเสี่ยงทั้งสิ้นที่จะถูกทำลายโดยแนวคิดใหม่  ดังนั้น  ทุกบริษัทและนักลงทุนก็ต้องระแวดระวังและปรับตนเองให้แข่งขันได้

การติดตามในเรื่องของราคาหุ้นนั้น  น่าจะเป็นเรื่องปกติและเราสามารถติดตามได้ทุกวันหรือทุกนาที  แต่สำหรับการลงทุนในหุ้นปันผลนั้น  เรื่องราคาจะต้องไม่ใช่เรื่องที่เราควรจะจดจ่อกับมันมากนัก  เพราะวัตถุประสงค์ตั้งแต่แรกของเราก็คือ  เราหวังว่าจะได้ “ปันผลตอบแทน” ปีละครั้งหรือสองครั้งหรือมากกว่านั้น 

ดังนั้น  สิ่งที่เราสนใจมากพอ ๆ  กันก็คือ  ปันผลเราจะได้ไหมเมื่อถึงเวลาและเราจะได้เพิ่มขึ้นไปอีกในปีต่อไปหรือไม่  ซึ่งสิ่งที่จะทำให้ได้ปันผลและได้เพิ่มไปเรื่อย ๆ  ก็คือกำไรของบริษัทที่เพิ่มขึ้น  หรือไม่ก็มีการซื้อหุ้นคืนเพื่อลดจำนวนหุ้นและทำให้กำไรต่อหุ้นเพิ่มและปันผลต่อหุ้นเพิ่มตาม

ราคาหุ้นในระยะสั้นวันต่อวันที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้น เราก็ไม่ควรจะสนใจมาก เพราะในที่สุดแล้วถ้าปันผลเพิ่มขึ้น ในระยะยาวราคาหุ้นก็มักจะเพิ่มขึ้น เราไม่ต้องกังวลหรือไปลุ้นกับราคาหุ้น

ดังนั้น  ราคาหุ้นในระยะสั้นวันต่อวันที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงนั้น เราก็ไม่ควรจะสนใจมาก เพราะในที่สุดแล้วถ้าปันผลเพิ่มขึ้น ในระยะยาวราคาหุ้นก็มักจะเพิ่มขึ้น เราไม่ต้องกังวลหรือไปลุ้นกับราคาหุ้น

เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ปันผลที่มาเป็นกอบเป็นกำนั้น  สามารถเพิ่มมูลค่าพอร์ตหรือความมั่งคั่งของเราเท่า ๆ  กับราคาหุ้นที่ขึ้นไปเช่นเดียวกัน  สำหรับหุ้นหลาย ๆ  ตัวแล้ว  ปันผลที่ได้รับนั้นคุ้มค่ามากจนไม่จำเป็นที่ราคาหุ้นจะต้องขึ้นเลย  เพราะปันผลที่ได้รับอาจจะเกิน 7-8% ต่อปี ซึ่งถือว่าดีมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นหรือการลงทุนทางเลือกอื่น ๆ