จบรอบหุ้นใหญ่แสนล้าน?

จบรอบหุ้นใหญ่แสนล้าน?

วันศุกร์ ที่ 14 ก.พ.2563 ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์นั้น  สำหรับนักเล่นหุ้นแนวเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยคงเป็น “ช็อก” เล็ก ๆ 

ที่เตือนให้รู้ว่า  “การลงทุนมีความเสี่ยง” ที่ทำให้ขาดทุนโดยไม่ได้คาดคิดได้ เพราะแม้ว่าดัชนีตลาดหุ้นจะลดลงเพียง 6 จุดหรือลดลงเพียง 0.42%  แต่หุ้นที่กำลังร้อนแรงกลุ่มหนึ่งที่วิ่งขึ้นโดดเด่นเกือบทุกวันรวมถึงช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 14 กลับตกลงมาประมาณ 3-5% ตอนปิดตลาด  เพราะสำหรับนักเล่นหุ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ที่ดัชนีตลาดมักไม่ค่อยไปไหนและมีทิศทางลดลงแต่หุ้นกลุ่มดังกล่าวกลับปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ  พร้อมปริมาณการซื้อขายที่สูงลิ่วและนักลงทุนลุ้นกันทุกวันว่ามันจะขึ้นไปถึงจุดไหนในหุ้นแต่ละตัว  นี่คือกลุ่มหุ้นที่ “พลาดไม่ได้” เพราะมันเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดีเยี่ยม  กิจการมั่นคงเติบโต  เป็นหุ้นที่มีขนาดหรือมูลค่าหุ้นเป็นแสนแสนล้านบาท

ปรากฏการณ์ที่ผมเห็นมาตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมาก็คือ  นักเล่นหุ้นส่วนบุคคลซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายหุ้นมากที่สุดขนาดที่บางคนซื้อขายกันทุกวันนั้น  จะหา “หุ้นร้อน” ที่จะเล่น

ผมเองติดตามความเคลื่อนไหวและความเป็นไปของตลาดหุ้นเกือบทุกวันเป็นเวลานานมากเท่า ๆ  กับที่อยู่ในตลาด

ปรากฏการณ์ที่ผมเห็นมาตลอด 6-7 ปีที่ผ่านมาก็คือ  นักเล่นหุ้นส่วนบุคคลซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการซื้อขายหุ้นมากที่สุดขนาดที่บางคนซื้อขายกันทุกวันนั้น  จะหา "หุ้นร้อน" ที่จะเล่น 

และในบางช่วงเวลาก็จะมีหุ้นร้อนที่มีธีมบางอย่างที่สามารถกระตุ้นให้คนสนใจเข้ามาซื้อขายหุ้นได้  บ่อยครั้งก็เป็นเรื่องของอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตหรือกำลังได้ประโยชน์จากกฎเกณฑ์ของรัฐ 

ทั้งหมดนั้นมักจะดำเนินอยู่ยาวนานพอสมควรอย่างน้อยก็เป็นปี  เมื่อเกิดกระแสหรือ "จุดติด"  แล้ว  หุ้นในกลุ่มนั้นก็จะปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างแรง

ราคาของหุ้นขึ้นไปเป็นร้อยหรือหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จนคนทั้งตลาดซึ่งรวมถึงนักวิเคราะห์ต่างก็เข้ามา “ร่วมขบวน” และต่างก็บอกว่าหุ้นก็จะไปต่อไปเนื่องจากพื้นฐานที่ดีของบริษัท

วันที่ประชามติออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าหุ้นในกลุ่มนั้นทั้งกลุ่มมีราคาที่เหมาะสม ก็มักจะเป็นวันที่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงสุด บางครั้งก็เกิดขึ้นทันทีกับหุ้นทั้งกลุ่ม เช่น หุ้นตกลงมาทั้งกลุ่มโดยที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน เป็นไปได้ว่ามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับหุ้นบางตัว

วันที่ประชามติออกมาเป็นเอกฉันท์ว่าหุ้นในกลุ่มนั้นทั้งกลุ่มมีราคาที่เหมาะสม ก็มักจะเป็นวันที่ราคาหุ้นขึ้นไปสูงสุด  บางครั้งก็เกิดขึ้นทันทีกับหุ้นทั้งกลุ่มเช่น  หุ้นตกลงมาทั้งกลุ่มโดยที่ไม่มีสาเหตุชัดเจน เป็นไปได้ว่ามีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับหุ้นบางตัว หลังจากนั้นนักลงทุนอาจจะเริ่มตระหนักว่า หุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่มีความคล้ายคลึงกันก็อาจจะเกิดขึ้นได้

คนหนึ่งขายหุ้นอย่างหนัก หุ้นก็ตก ทำให้คนที่จ้องมองอยู่ขายบ้าง ทำให้หุ้นตกเพิ่มขึ้น ซึ่งก็ทำให้คนต่อไปทำเช่นเดียวกัน ผลก็คือหุ้นตกลงมาเป็นแผงคล้าย ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวันวาเลนไทน์ 

หลาย ๆ ครั้งวันที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นมักจะเป็นวันใกล้วันประกาศงบการเงินประจำไตรมาศหรือประจำปี  เหตุผลอาจจะเป็นว่า หุ้นเหล่านั้นมักจะเป็นหุ้นที่เน้นแนวเติบโตสูง การประกาศงบจะเป็นวันที่บอกว่าหุ้นโตจริงหรือเปล่า คนที่มีข้อมูลภายในที่อาจจะรู้ว่า งบไม่ดีอย่างที่คาดก็อาจจะขายก่อน และทำให้หุ้นตกมาแรง และทำให้ภาพของหุ้นทั้งกลุ่มเปลี่ยนแปลงไป

หลังจากนั้นหุ้นก็อาจจะไม่กลับไปดีมากอย่างที่เคย แบบนี้เราเรียกว่า "จบรอบ"

ประมาณปี 2557 นั้น เราได้เห็นหุ้นขนาดเล็กรวมถึงหุ้นในตลาด MAI หลายบริษัทปรับตัวขึ้นไปดีมากเป็นที่กล่าวขวัญของนักลงทุนว่าเป็นกิจการที่โตเร็ว

หุ้น IPO ขนาดเล็กเป็นที่ต้องการสูงมากเพราะคนจองได้กำไรเป็นกอบเป็นกำทุกตัว อย่างไรก็ตามรอบของหุ้นเล็กนั้นก็จบลงน่าจะประมาณปลายปี 2557 และหลังจากนั้นก็ไม่ฟื้นเลย เหตุผลก็อาจจะเป็นเพราะว่าเรื่องราวหรือสตอรี่ของหุ้นตัวเล็กนั้นสร้างไม่ค่อยได้ และเมื่อผลประกอบการทยอยออกมาฟ้องว่ามันไม่ได้โตได้มากอย่างที่คิด นักลงทุนที่ "ชาญฉลาด" หรือคนที่ "ทำหุ้น" ก็รีบถอยโดยการขายหุ้นทิ้งทำกำไรไปก่อนที่ราคาจะไหลลงจนกลับขึ้นไปไม่ได้

ช่วงปี 2559-2560 เป็นเวลาของหุ้นขนาดกลางหรือกลางเล็กที่ผมเรียกว่า เป็นกลุ่ม "หุ้นนางฟ้า" ที่มักเป็นหุ้นสินค้าผู้บริโภคที่มีแบรนด์เนมดี มีกำไรดี มีฐานะการเงินเยี่ยม และที่สำคัญมีสตอรี่ของการเติบโตจากตลาดใหม่ในต่างประเทศ

การส่งออกหรือขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยว กลายเป็นสตอรี่ที่ทำให้กลุ่ม "หุ้นนางฟ้า" วิ่งเป็นจรวด ราคาขึ้นไปหลายเท่าในเวลาเพียง 1-2 ปี  แต่หลังจากที่งบการเงินออกมาต่อเนื่อง และฟ้องว่าไม่ได้เติบโตอย่างที่คาด  ราคาหุ้นก็ร่วงทั้งกลุ่ม

เหตุก็เพราะว่า หุ้นผู้บริโภคส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นอย่างนั้นในอดีต แต่เหตุที่มันไม่ค่อย Perform หรือหุ้นไม่โตก็เพราะว่าหุ้นเหล่านั้นมักจะมีภาพของธุรกิจที่ค่อนข้างอิ่มตัวในประเทศ  การส่งออกหรือขายสินค้าให้กับนักท่องเที่ยวจึงกลายเป็นสตอรี่ที่ทำให้กลุ่มหุ้นนางฟ้าวิ่งเป็นจรวด ราคาขึ้นไปหลายเท่าในเวลาเพียง1-2 ปี  แต่หลังจากที่งบการเงินออกมาต่อเนื่องและฟ้องว่าไม่ได้เติบโตอย่างที่คาด  ราคาหุ้นก็ร่วงทั้งกลุ่ม

หุ้นจบรอบลงอย่างน่าเศร้าสำหรับนักลงทุนที่เข้าไปเล่นในยามที่ทุกอย่างดูสดใสและ "ไม่เสี่ยงเลย" เพราะมันเป็นหุ้นที่ทุกคนรวมถึงนักลงทุนสถาบันและต่างประเทศบอกว่ามันดี

ล่าสุดก็คือกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาท โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและอีกหลายตัวที่ผมมองดูมานานพอสมควร และเห็นว่ามีหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวที่เป็นขวัญใจของนักเล่นหุ้น

ล่าสุดก็คือกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาทโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าและอีกหลายตัวที่ผมมองดูมานานพอสมควรและเห็นว่ามีหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวที่เป็นขวัญใจของนักเล่นหุ้น

รอบของ “หุ้นใหญ่แสนล้าน” นั้นน่าจะผ่านมาประมาณ 2 ปีแล้ว คือ ตั้งแต่ต้นปี 2561 เป็นต้นมา โดยที่คุณลักษณะที่ร่วมกันของหุ้นกลุ่มนี้สามารถอธิบายเป็นข้อ ๆ  ดังต่อไปนี้

1) เป็นหุ้นที่ขณะนี้มี Market Cap. อย่างน้อย 100,000 ล้านบาทแล้ว ซึ่งกลายเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นหุ้นขวัญใจของนักเก็งกำไรที่ในอดีตชอบเล่นแต่หุ้นเล็กที่ราคามักวิ่งขึ้นเร็วกว่า

อย่างไรก็ตาม หุ้น 5 ตัวนี้คือหุ้นที่วิ่งขึ้นเร็วมากจนไม่น่าเชื่อ ราคาหุ้นขึ้นไปในเวลา 2 ปีหรือน้อยกว่านั้นโดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 110% ซึ่งในอดีตนั้น หุ้นใหญ่ขนาดนี้ขึ้นไปอย่างมากก็ปีละ 20-30% ก็ถือว่ามากแล้ว

2)  Market Cap. ของ 5 บริษัทรวมกันจนถึงปัจจุบันประมาณ 900,000 ล้านบาท และในช่วงน้อยกว่า 2 ปีที่ผ่านมาได้สร้าง Market Cap. เพิ่มขึ้นประมาณ 530,000 ล้านบาท นี่เป็นเม็ดเงินมหาศาลที่ทำให้คนที่เข้าไปลงทุนหรือผู้ถือหุ้นเดิมมั่งคั่งขึ้นมหาศาล

3) บริษัททั้ง 5 แห่งนั้นไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมยุคใหม่ที่เติบโตเร็ว แต่เป็นอุตสาหกรรม “พื้นฐาน” ที่น่าจะอิ่มตัวในประเทศ แต่กำลังขยายไปต่างประเทศ โดยที่กำไรที่ผ่านมาในอดีตนั้นอยู่ในระดับพอใช้เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้หรือส่วนของผู้ถือหุ้น

การเติบโตของกำไรที่ผ่านมานั้นอยู่ในระดับปานกลางถึงดีแต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะมีความคาดหวังสูงมากสำหรับการเติบโตของกำไรที่จะมาจากต่างประเทศเนื่องจากโครงการต่าง ๆ  “กำลังเดินหน้าอย่างรวดเร็ว”

4) หุ้นเกือบทั้งหมดนั้นมีค่า PE ที่สูงลิ่วเช่นเดียวกับค่าความแพงอื่น ๆ  เฉลี่ยหุ้น 5 ตัวมีค่า PE สูงถึง 53 เท่า

5) หุ้นทุกตัวนั้นแม้ว่าจะมี Market Cap. เป็นแสนหรือหลายแสนล้านบาท แต่ Free Float หรือส่วนที่ถือโดยนักลงทุนที่จะซื้อขายหุ้นในตลาดคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่เท่า ๆ  กัน เนื่องจากบริษัทมักจะเป็นกิจการที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เดิมที่เป็นผู้ก่อตั้งถือหุ้นส่วนใหญ่อยู่ หรือไม่ก็เป็นบริษัทลูกของบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ที่ไม่มีนโยบายขายหุ้นในตลาด

และนี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้การซื้อขายของนักเก็งกำไรโดยเฉพาะที่เป็นรายใหญ่ซึ่งอาจรวมถึงสถาบันอาจจะสามารถชี้นำราคาหุ้นได้ทั้ง ๆ  ที่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ระดับแสนล้านบาท

คงต้องดูกันว่าหุ้นกลุ่มที่กล่าวถึงนี้จะมีคำว่า “จบรอบ” เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในหุ้นกลุ่มอื่น ๆ ในอดีตหรือไม่และจะเกิดขึ้นเมื่อไร

ประสบการณ์บอกผมว่า เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยากเมื่อคำนึงถึงระดับราคาของหุ้นและสตอรี่ต่าง ๆ ที่คาดกันว่าจะเกิดขึ้น

ผมเองเคยเห็นหุ้นขนาดแสนล้านบาทที่วิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากบางทีแค่หมื่นหรือสองสามหมื่นล้านบาทมาอยู่เนือง ๆ  แต่ในที่สุดก็ตกลงมาแบบ  “หายนะ” เมื่อผลประกอบการไม่รองรับและค่า PE ที่สูงลิ่ว 

ผมเองเคยเห็นหุ้นขนาดแสนล้านบาทที่วิ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วจากบางทีแค่หมื่นหรือสองสามหมื่นล้านบาทมาอยู่เนือง ๆ  แต่ในที่สุดก็ตกลงมาแบบ  "หายนะ" เมื่อผลประกอบการไม่รองรับและค่า PE ที่สูงลิ่ว 

ในครั้งนี้  ถ้าจะพูดว่าอาจจะมีบางตัวสามารถรักษาระดับราคาอยู่ได้ตลอดไปผมก็คิดว่ามีความเป็นไปได้

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองเป็นกลุ่มแล้ว ผมยังคิดว่ารอบนี้ก็น่าจะเหมือนเดิม  คือมีวัน "จบรอบ" ที่ราคาหุ้นตกลงมาอย่างน่าใจหาย