ต้นเหตุงบ 63 ล่าช้าคือสส.ภูมิใจไทย

ต้นเหตุงบ 63 ล่าช้าคือสส.ภูมิใจไทย

ก่อนอื่นต้องเข้าใจตรงกันเสียก่อนว่า ทำไมงบประมาณปี 63 จึงได้ล่าช้า

เพราะมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามจะใส่ร้ายว่า งบ 63 ล่าช้าเพราะศาลรัฐธรรมนูญ และโจมตีว่าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแบบไม่มีมาตรฐาน

แม้นว่าในคำแถลงของศาลรัฐธรรมนูญจะยกคำวินิจฉัยมาเทียบเคียงให้เห็นว่า กรณีงบประมาณ แตกต่างกับการวินิจฉัยในอดีต ตรงที่ว่า การกระทำทุจริตของ งบประมาณ63คือการเสียบบัตรแทนกัน เป็นการกระทำที่เป็นแค่กระบวนการ ไม่ใช่สาระสำคัญของร่างพรบ.งบประมาณ 

ดังนั้นร่างบประมาณ จึงไม่ตกไปทั้งฉบับ เห็นชอบให้ส่งไปลงมติใหม่ในวาระ2และ3เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ แม้นว่า ความสำคัญของงบประมาณคือวาระ1 วาระรับหลักการก็ตาม

การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้ จึงชอบแล้ว

มีความเข้าใจผิดว่า ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5ต่อ4 ว่า ร่างพรบ.งบประมาณ ไม่โมฆะ 5เสียง ส่วนอีก4เสียงเป็นโมฆะนั้นไม่ใช่

เนื่องจาก เสียงของตุลาการทั้ง 9 เห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ร่างพรบ.งบประมาณ ที่มีการเสียบบัตรแทนกันนั้น ไม่เป็นโมฆะ เมื่อไม่โมฆะแล้วจะทำอย่างไร

มีตุลาการ 4 เสียงเห็นว่า ให้ส่งกลับไปสภา เพื่อสภาจะได้นำร่างกฎหมายดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ แต่อีก 5 เสียงเห็นว่า ไม่โมฆะ แต่อยากให้กลับไปโหวตในวาระ2-3 ใหม่

มติจึงออกมา5ต่อ4อย่างที่เห็น

อย่าเอาไปบิดเบือนว่า มีตุลาการถึง4ท่านที่เห็นว่า ร่างกฎหมายโมฆะ นั้นไม่เข้าใจข้อเท็จจริง

ประการต่อมา เมื่อศาลรัฐธรรมนูญชี้ทางออกให้แล้ว เป็นหน้าที่ของสภาที่จะดำเนินการ ซึ่ง นายชวน หลีกภัย ประธานสภานัดประชุมแล้ววันที่ 13 ก.พ.เพื่อลงมติ และจะมีสส.เสนอให้ลงมติรายมาตราโดยไม่มีการอภิปราย

เรื่องยังไม่จบ เนื่องจาก ในเอกสารข่าวของ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้ระบุชื่อ นายฉลอง เทิดวีระวงศ์ สส.พัทลุง พรรคภูมิใจไทย เพียงคนเดียวที่ยอมรับว่ามีการกดบัตรแทนกัน ไม่ได้ระบุคนที่เหลือ นั้นแสดงว่า ความผิดปกติของร่างพรบ.งบประมาณ เกิดจากคนของพรรคภูมิใจไทย

พรรคร่วมรัฐบาลจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เพราะคนของพรรคภูมใจไทย เป็นอุปสรรคต่อการบริหารประเทศเสียเอง

นายอนุทิน ชาญวีระกุล หัวหน้าพรรค จะทำได้แค่ตักเตือนสส.คงไม่พอ เพราะว่าการกระทำดังกล่าวถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ แม้นว่าจะมีบทบัญญัติให้ชงเรื่องเอาผิดสส.เป็นรายตัวได้ก็ตาม

แต่ในฐานะพรรคการเมือง องค์กรที่ประชาชนฝากความหวังเอาไว้ จะต้องทำให้เป็นตัวอย่างและเป็นบรรทัดฐานว่า สส.ที่ประชาชนเลือกมา จะต้องรู้จักหน้าที่ว่าต้องประชุมสภาและให้ความสำคัญกับกฎหมายที่รัฐบาลเสนอมากกว่าคะแนนเสียงจากการแจกของวันเด็ก

หากสามัญสำนึกของสส.ผู้แทนปวงชนมีแค่นี้ ประชาชนก็อย่าได้หวังว่าในอนาคตเราจะมีพรรคการเมืองที่มีความรับผิดชอบและทำเพื่อประชาชนจริงๆ

อย่างดีก็ร่างนโยบายขึ้นมาหลอกลวงเพื่อหวังคะแนนเสียงพอได้คะแนนเสียงแล้ว สส.กลับมาปฏิบัติหน้าที่ หรือพรรคการเมืองกลับเพิกเฉยต่อนโยบายที่หาเสียงเอาไว้

เรื่องนี้นายกฯ ในฐานะผู้นำรัฐบาลจะต้อบมีบทลงโทษพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อไม่ให้ใครเอาเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสส.พรรคไหนก็ตาม ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ

หากปล่อยไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต่อไปจะต้องกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นอีก เมื่อนั้น รัฐบาลอาจจะไม่โชคดีตลอดไป